thammarith

รถไฟช้าไปกาญจนบุรีและบ่ายที่แม่น้ำแคว

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ซื้อตั๋วรถไฟชั้นสามจากธนบุรีไปกาญจนบุรีแบบไม่คาดหวังอะไรมาก ขบวนออกสายเล็กน้อย แต่พอรถเริ่มวิ่ง ลมก็พัดผ่านหน้าต่างเปิดโล่งให้ทุกอย่างช้าลงโดยอัตโนมัติ เสียงล้อเสียดรางดังเป็นจังหวะที่ฟังแล้วหัวโล่งกว่าเพลงที่เปิดในหูฟังเสียอีก

คนที่นั่งตรงข้ามเป็นลุงอายุราวหกสิบ พูดน้อย แต่ยิ้มให้ตอนรถชะลอที่สถานีหนองปลาดุก สองข้างทางเป็นทุ่งนากับบ้านไม้ที่ยังมีคนตากผ้าไว้ริมรั้ว พอรถหยุดที่สถานีบ่อย ๆ เราก็เห็นภาพเล็ก ๆ ของชีวิตที่ไม่รีบเร่งสอดแทรกเข้ามาทีละนิด

ถึงกาญจนบุรีตอนบ่าย เดินข้ามสะพานแม่น้ำแควแบบไม่แย่งพื้นที่ใครมากนัก แดดแรงแต่ลมบนสะพานช่วยให้ยืนมองเรือยาวได้เพลิน ๆ ขากลับแวะร้านโชห่วยซื้อเย็นเย็นหนึ่งขวด ดื่มรวดเดียวจนคอเย็นเฉียบ มันง่าย แต่มันดีพอสำหรับบ่ายวันนั้น

กลับถึงกรุงเทพฯ จบวันด้วยฝุ่นเล็ก ๆ ที่เกาะใบหูจากการนั่งริมหน้าต่าง แต่ใจมันนิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเพราะรถไฟช้า หรือเพราะเราเป็นฝ่ายยอมช้ากันแน่

ย้อนไปตั้งแต่เช้าที่สถานีธนบุรี บรรยากาศไม่ได้รีบ คนต่อแถวซื้อตั๋วอย่างใจเย็น แม่ค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้งวางเตาถ่านเล็ก ๆ ข้างกำแพง ไอร้อนจากเตากับกลิ่นน้ำจิ้มหวานเค็มทำให้ท้องร้องตั้งแต่เช้าตรู่ เราซื้อหมูปิ้งสองไม้ใส่ถุงกระดาษ พอขึ้นขบวนได้ก็วางไว้บนหน้าต่างให้ไอร้อนระบายก่อนจะกิน ความสุขแบบเล็ก ๆ ของการขึ้นรถไฟชั้นสามคือการได้เปิดหน้าต่างรับลมแบบไม่ต้องเกรงใจเครื่องปรับอากาศของใคร

รถออกช้าไปนิด แต่ไม่มีใครบ่น ต่างคนต่างนั่ง ปรับเสื้อผ้าให้สบาย แล้วปล่อยให้ตะวันค่อย ๆ สูงขึ้นเหนือหลังคาโรงงานเตี้ย ๆ แถวบางกอกน้อย ไม่นานนักเมืองเริ่มบางลง บ้านไม้หลังเล็กพร้อมแปลงผักข้างบ้านปรากฏขึ้นเป็นระยะ สายตาเราไปสะดุดกับสนามฟุตบอลชุมชนที่มีเด็กสองคนเตะบอลกันแบบง่วง ๆ ภาพนั้นผ่านไปเร็ว แต่ติดอยู่ในหัวนานกว่าที่คิด

พอถึงหนองปลาดุก ลุงที่นั่งตรงข้ามเอ่ยปากถามว่า “ลงที่ไหน” เราตอบแบบยิ้ม ๆ ว่า “ไปสุดสายเลยครับ” แล้วบทสนทนาเล็ก ๆ ก็เริ่มขึ้น ลุงเคยเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ขึ้นรถไฟแล้ว แต่วันนี้จะไปหาหลานที่เมืองกาญจน์ เราคุยเรื่องราง เรื่องไม้หมอน เรื่องรถไฟรุ่นเก่าที่เขาว่าทนทานกว่าสมัยนี้ ลมที่พัดเข้ามาพร้อมกลิ่นดินและหญ้าทำให้บทสนทนาง่ายขึ้นแบบไม่ต้องพยายาม

เข้าเขตเมืองกาญจนบุรี เสียงพ่อค้าเร่ดังขึ้นมาในโบกี้ “น้ำเย็น ๆ โค้ก แฟนต้า! ข้าวเหนียวหมู ปลาทูทอด!” เราซื้อขนมเรียกน้ำย่อยเพิ่มเป็นกล้วยบวชชีหนึ่งถุง รสชาติเหมือนงานวัดสมัยเด็ก ลุงหัวเราะเบา ๆ บอกว่า “กินเผื่อด้วยนะ” แล้วล้วงถุงถั่วลิสงคั่วแบ่งมาอีกกำมือ

ลงจากสถานีเมืองกาญจน์ เราเลือกเดินแทนการจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ถนนช่วงเช้าลมแรง ใบไม้กวาดลงมาจากต้นเป็นชั้น ๆ แดดแรงแต่เงาตึกช่วยบังให้เย็นกว่าที่คิด ระหว่างทางแวะวัดเก่าเล็ก ๆ ที่เงียบอย่างน่าแปลกใจ กลิ่นธูปลอยบาง ๆ ไม่ใช่กลิ่นแรงแบบวัดดัง ๆ ทำให้อยากนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงระเบียงไม้ หูฟังเสียงรองเท้าของนักเรียนที่กำลังเดินผ่านไปโรงเรียนใกล้ ๆ

สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นหลักไมล์ของคนมาเมืองนี้ แต่ถ้ามองนาน ๆ จะเห็นรายละเอียดที่มักถูกกลืนในรูปถ่าย เช่น รอยเชื่อมเหล็กที่ไม่เรียบเพราะซ่อมหลายครั้ง ซี่น็อตบางตัวถูกทาสีทับจนบวม มันบอกเล่าการใช้งานยาวนานมากกว่าคำโฆษณา เราเลือกเดินช้า ๆ หลีกคนอื่น ไม่ยืนถ่ายรูปนานเพราะอยากให้คนอื่นได้จังหวะของตัวเองบ้าง ลมบนสะพานไม่แรง แต่พอมาตกกระทบเหล็กก็ส่งเสียงฮัมเบา ๆ เป็นคู่กับเสียงน้ำด้านล่าง

บ่ายแก่ ๆ เราแวะร้านก๋วยเตี๋ยวเรือติดริมน้ำ เจ้าของร้านเล่าว่าหน้าฝนคนจะน้อย แต่กลับกลายเป็นช่วงที่น้ำสวยเพราะดินไม่ฟุ้งมาก ถ้วยเล็ก ๆ ที่เข้าปากสองคำหมดทำให้เผลอสั่งเพิ่มโดยไม่รู้ตัว พอเดินออกมาปะทะแดดบ่าย กลิ่นน้ำในแม่น้ำกับกลิ่นไม้เปียกแดดชนกันจนต้องหยุดยืนหายใจลึก ๆ สองสามที

ขากลับไปสถานี เราเดินเส้นทางที่ไม่ใช่ถนนหลัก ผ่านบ้านที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เห็นภาพครอบครัวนั่งล้อมวงปอกกระเทียมอยู่บนพื้น เสียงวิทยุชุมชนเปิดข่าวเบา ๆ เรื่องน้ำหลากในอำเภอข้างเคียง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิเศษอะไร แต่พออยู่บนถนนที่ช้าพอ ทุกอย่างก็กลายเป็นฉากที่เล่าเรื่องเมืองกาญจน์ได้ดีกว่าแผ่นพับท่องเที่ยว

ขบวนขากลับแน่นกว่าขามา มีนักเรียนขึ้นมาหัวเราะกันเสียงดัง เราขยับให้ครอบครัวหนึ่งได้นั่งด้วยกัน แม่เด็กบอกขอบคุณแล้วส่งส้มมาให้สองลูกเป็นการตอบแทน รถไฟวิ่งผ่านทุ่งกว้างที่พระอาทิตย์กำลังตก ฟ้ากลายเป็นสีส้มอมชมพูสะท้อนน้ำในคูข้างทางจนเหมือนทางรถไฟลอยอยู่บนสีเดียวกันทั้งแนว

พอมาถึงธนบุรีอีกครั้ง ความจอแจของเมืองกลับมาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ แต่เราพบว่าการเดินช้า ๆ จากชานชาลาไปหน้าสถานีช่วยยืดช่วงเวลากึ่งฝันกึ่งจริงให้ยาวขึ้นอีกนิด ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดรถเมล์ รถไฟฟ้า และแจ้งเตือนที่ต่อคิวรอเราอยู่

ถ้าใครอยากลองทริปแบบนี้ เตรียมน้ำหนึ่งขวด ทิชชู่เปียกหนึ่งซอง หมวกหรือผ้าคลุมไหล่ไว้กันแดด และเผื่อเวลามากกว่าปกติอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงสำหรับทุกอย่าง เพราะความสนุกของทริปนี้อยู่ตรงที่เราไม่ต้องชนะเวลา แต่ยอมรับมันอย่างที่เป็น แล้วดูว่าหัวใจเราจะเดินช้าลงได้แค่ไหนในหนึ่งวัน