thammarith

ปั่นจักรยานรอบเกาะเกร็ดแบบไม่เร่งรีบ

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ออกจากบ้านเช้าๆ ขนจักรยานขึ้นรถไปท่าเรือปากเกร็ด ข้ามฟากไม่กี่นาทีถึงเกาะเกร็ด อากาศครึ้มเล็กน้อยกำลังดี ทางแคบแต่รถน้อย ปั่นช้าๆ ให้เหงื่อออกพอสนุก ไม่ได้ล็อกเป้าหมายเป็นรอบกี่กิโล แค่ตั้งใจอยากวนรอบเกาะให้ครบสักหนึ่งรอบ แล้วปล่อยให้แผนระหว่างทางเกิดขึ้นเอง

ช่วงแรกปั่นเลียบคูน้ำและบ้านเรือนไม้เก่า เสียงหมาเห่าบ้างประปราย เด็กวิ่งเตะบอลกันในสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้าน กลิ่นกับข้าวเช้าลอยแตะจมูกเป็นพักๆ จนเริ่มหิวก่อนเวลา แวะจอดร้านน้ำชาชิดทางเดิน สั่งชาเย็นหนึ่งแก้ว หวานน้อย แล้วค่อยๆ จิบไปดูคนพายเรือหาปลาฝั่งตรงข้าม ท่าทางช้าๆ แต่มั่นคง มันทำให้เราหยุดคิดเรื่องงานได้แบบอัตโนมัติ

ปั่นต่อไปอีกหน่อย เริ่มเข้าสู่โซนงานหัตถกรรมและเครื่องปั้นดินเผา ร้านเปิดบ้างปิดบ้าง ตามจังหวะของชุมชน ไม่ได้ตามรีวิว ผมลองจอดดูร้านทำเครื่องปั้นที่ยังควันไฟอุ่นๆ ลอยออกมาจากเตา คนเฒ่าคนแก่สองสามคนกำลังนั่งคุยกัน ด้านในมีคนกำลังกรีดปากกระถางดินอย่างใจเย็น เผลอคิดในใจว่า ถ้าอยู่ใกล้บ้านหน่อยคงได้ซื้อกลับไปปลูกไม้ใบ แต่พอคิดถึงการขนบนจักรยานก็ยอมแพ้

ไฮไลต์คือช่วงเลียบแม่น้ำ นั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ดูเรือหางยาววิ่งผ่านเป็นระยะ เสียงเครื่องยนต์แว่วๆ แล้วก็เงียบไป เหมือนเวลาถูกตัดเป็นชิ้นสั้นๆ ที่พอใจมากๆ ลมจากแม่น้ำพัดมาทีละอึกใหญ่ ทำให้เหงื่อที่ซึมอยู่ตามแผงคอเย็นลงทันที มองลงไปเห็นแพปลาขึงตาข่ายอยู่ไกลๆ มีนกยืนอยู่บนหัวเสาไม้ท่อนหนึ่ง เงียบแบบไม่เดียวดาย

แถววัดกลางเกาะมีตลาดเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยมา ผมจอดพักอีกครั้ง กินขนมโมจิไส้ถั่ว ร้านเก่าที่เคยมากับครอบครัวตอนเด็กๆ ยังอยู่ คนขายคนเดิมยิ้มทักว่า “โตขึ้นเยอะเลยนะ” แล้วหัวเราะ ผมก็หัวเราะตามแบบเขินๆ คำถามถัดมาคือ “มากี่คนล่ะ” พอบอกว่ามาคนเดียว แกก็ยิ้มแล้วตักชาร้อนให้แก้วนึงฟรีๆ บอกว่าช่วยล้างปาก จะได้ปั่นต่อให้สบายท้อง น้ำชาร้อนๆ ทำให้กลิ่นถั่วจากโมจิกลายเป็นหวานนุ่มติดคอไปอีกหน่อย ดีแบบเรียบง่าย

จากตลาดผมเลือกเส้นที่แคบลงเป็นทางเดินคอนกรีตยกพื้น ลัดไปตามสวนกล้วยและพืชสวนครัว ช่วงนี้ต้องระวังคนเดินสวนและจักรยานของชาวบ้าน ปั่นช้าๆ ชนได้ใครนี่คือเสียมารยาทมาก บางช่วงมีสะพานไม้เล็กๆ ข้ามคูน้ำที่ทำให้หยุดลงจูงจักรยานโดยอัตโนมัติ อยู่ดีๆ ก็ได้เวลาพักขาแบบไม่ได้ตั้งใจ มองดูเงาใบไม้สั่นไหวบนผิวน้ำแล้วรู้สึกนิ่งลงอีกนิด

กลางวันเริ่มเฉียดมาถึง แดดแรงขึ้นแต่ยังมีเมฆบังบ้างเป็นครั้งคราว เหงื่อเริ่มซึมเต็มหลังมือ ผมตัดสินใจแวะวัดเล็กๆ ข้างทางที่ไม่มีชื่อดังในรีวิวอะไร น่าจะเป็นวัดชุมชนที่ชาวบ้านมาใช้จริง ข้างศาลาการเปรียญมีศาลาพักเล็กๆ จอดจักรยานก็ไม่เกะกะใคร ผมจุดธูปสามดอกไหว้แบบที่ทำมาตั้งแต่เด็ก บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบง่ายๆ ว่าขอให้วันนี้นิ่งๆ ปลอดภัย ไม่มีอะไรเกินแรง

เสร็จแล้วเข้าไปนั่งในศาลา นั่งเงียบๆ มองลมพัดผ้าม่านลูกไม้สีขาวที่คนในวัดคงซักตากไว้ข้างหลัง เสียงพัดลมเก่าๆ หมุนดังครืดเบาๆ ผิวไม้ขัดเงาเย็นๆ ทำให้ใจชื้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลาแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมชอบปั่นจักรยานช้าๆ มันพาไปเจอมุมพักที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ แต่พอดีต่อใจอย่างประหลาด

ออกจากวัด ผมวนกลับไปเส้นริมแม่น้ำอีกรอบ ตั้งใจหาจุดนั่งดูน้ำแบบคนแก่ๆ ซึ่งสุดท้ายก็เจอเก้าอี้ไม้เก่าๆ สองตัววางไว้ใต้ต้นโพธิ์ พอนั่งแล้วเท้าจิกพื้นดินชื้นๆ ฟังเสียงน้ำกระทบตลิ่งเป็นจังหวะ ไม่อยากลุกไปไหนเลย สักพักมีลุงสองคนเดินมานั่งข้างๆ คุยเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงและปลากะพงที่ช่วงนี้ราคาตก บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างคนแปลกหน้าเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่าโลกยังซอฟต์ได้ แม้เราจะมัวแต่เปิดหน้าจออ่านดราม่ามาเกินพอดีก็ตาม

ก่อนปั่นกลับฝั่ง ผมแวะร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชามเล็กใกล้ท่าเรือ ชามละ 15–20 บาทตามป้ายที่เขียนด้วยชอล์กบนกระดาน ความหอมของซุปกับใบโหระพาทำให้เหนื่อยหายไปครึ่งหนึ่ง กินสองชามแบบไม่ได้หิวมาก แต่เหมือนได้ฉลองเช้าวันอาทิตย์เล็กๆ ของตัวเอง สั่งน้ำลำไยอีกแก้วตามคำเชียร์ของป้าคนขาย แล้วก็หัวเราะกันตอนป้าถามว่า “ไม่กลัวน้ำตาลขึ้นเหรอ” เราตอบไปว่า “เดี๋ยวไปปั่นต่ออีกหน่อยละกัน” จบการต่อรองที่ทุกคนพอใจ

ข้ามฟากกลับไปฝั่งปากเกร็ด รถเริ่มเยอะขึ้นตามเวลา แต่ใจผมยังคงช้าอยู่แบบเดิม เปิดมือถือเช็คเวลาแล้วตกใจนิดๆ ว่าปั่นไปปั่นมาใช้เวลาสามชั่วโมงกว่าทั้งที่ระยะทางจริงๆ ไม่เยอะเลย มันเป็นสามชั่วโมงที่ได้ทั้งเหงื่อ ทั้งแสงแดด ทั้งบทสนทนากับคนแปลกหน้า และช่วงเวลานั่งดูน้ำเฉยๆ แบบที่หาไม่ได้ในเมือง

ถ้าจะกลับไปอีก (ซึ่งคงอีกไม่นาน) ผมอยากลองเริ่มเช้ากว่านี้อีกนิด อาจจะหกโมงครึ่ง เพื่อได้เห็นแสงอ่อนๆ ตกบนหน้าบ้านไม้ และคนในชุมชนที่ยังไม่เปิดร้าน จะได้ปั่นผ่านความเงียบแบบบางๆ ที่เวลาสายๆ หาไม่ได้แล้ว อยากพกผ้ารองนั่งไปด้วย จะได้แวะนั่งยาวๆ โดยไม่ต้องมองหาเก้าอี้ไม้แบบครั้งนี้

ผมยังจดไว้ในสมุดว่าถ้าพาเพื่อนไปควรเตือนสองเรื่อง: 1) ทางแคบมากในบางช่วง ให้ลดความเร็วและพร้อมเบรคตลอดเวลา 2) ระวังสุนัข มีบางบ้านที่ชอบไล่กัด แต่ส่วนใหญ่แค่เห่า ถ้าเราปั่นนิ่งๆ ไม่ปาด ไม่เล่นกับมัน มันก็จะปล่อยเราไปเอง เรื่องนี้เหมือนชีวิตมาก ยิ่งเราตื่นตระหนก โลกก็ดูดุขึ้นทั้งที่จริงๆ มันอาจไม่ได้ดุขนาดนั้น

สุดท้ายรูปที่ชอบที่สุดของวันไม่ได้อยู่ในกล้อง แต่เป็นภาพในหัวตอนที่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เห็นเรือหางยาวลำหนึ่งวิ่งสวนกระแสน้ำแบบดื้อๆ ฟองน้ำแตกเป็นทางขาวอยู่ข้างหลัง มันธรรมดามาก แต่เพราะวันนั้นเราไม่ต้องเร่งอะไร มันเลยพิเศษขึ้นแบบไม่ต้องพยายาม ใครที่อยากหาที่ให้ใจช้าลงสักครึ่งวัน เกาะเกร็ดยังคงเป็นคำตอบที่ดีเสมอ