thammarith

สวนหลังบ้านฤดูแรก เมล็ดเล็กๆ ดินหยาบๆ และบ่ายที่ยาวขึ้น

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

เรามีสวนหลังบ้านขนาดเท่าผ้าปูที่นอนคิงไซส์หนึ่งผืน มันไม่ใช่สวนในฝัน ไม่ได้มีแปลงยกสวยงาม ไม่ได้มีระบบน้ำหยด ไม่ได้มีโรงเรือนพลาสติกใส ๆ มันคือสนามหญ้าที่เคยมีหมาขุดหลุมไว้สองหลุม ขอบปูนแตกบ้าง หญ้าขึ้นไม่เท่ากัน และมีแสงแดดครึ่งวันเช้า เราเริ่มสวนฤดูแรกนี้ด้วยเครื่องมือธรรมดา ๆ จอบเล็ก พลั่วสั้น บัวรดน้ำราคาถูก และปุ๋ยคอกหนึ่งกระสอบที่ขนมาเองจนปวดหลัง จุดเริ่มต้นคืออยากกินผักที่มือเราแตะดินเอง และอยากให้ช่วงบ่ายวันเสาร์ยาวขึ้นจากการก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับดินมากกว่าอยู่กับจอ

สัปดาห์แรก เราขุดหญ้าออกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างสองเมตร ยาวสามเมตร ลอกหน้าดินออกครึ่งฝ่ามือ โรยปุ๋ยคอกแล้วคลุกกับดินเหนียวหยาบ ๆ ที่บ้านมีอยู่ ไล่หาก้อนอิฐ เศษแก้ว และรากเก่าที่ค้างอยู่จนรู้สึกว่าพื้นที่เริ่มเป็นของเรา ดินไม่ดีอย่างที่อ่านในหนังสือ แต่นี่คือดินที่เรามี เราแบ่งแปลงเป็นสามช่องด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก ทำทางเดินแคบ ๆ ระหว่างแปลงเพื่อไม่เหยียบดินตรงรากพืช แล้วตั้งใจว่าจะปลูกพืชเจ็ดชนิดสำหรับฤดูกาลนี้: กะเพรา โหระพา คะน้า ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือเทศ และพริกขี้หนู

เราหยอดเมล็ดในถาดเพาะสำหรับคะน้า ผักบุ้ง และมะเขือเทศ ส่วนกะเพรา โหระพา และพริกเลือกเพาะลงกระถางก่อนเพื่อควบคุมความชื้น ระหว่างนั้นแตงกวาได้ลงแปลงไปก่อนเพราะงอกไวและอยากให้รากลงดินเร็ว เรารดน้ำเช้า-เย็นอย่างใจเย็น จับเวลาให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ ก้มลงไปดมดินบ้างอย่างคนบ้า (กลิ่นดินเปียกเป็นกลิ่นที่ดีที่สุดในบ้านเราในช่วงนี้) วันที่สี่เห็นจุดเขียวเล็ก ๆ โผล่จากถาดเพาะ รู้สึกเหมือนมีคนตอบรับจดหมายที่เราส่งไปโดยไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่าน

สัปดาห์ที่สอง เราย้ายต้นกล้าคะน้าและผักบุ้งลงแปลง ใช้ช้อนปลูกค่อย ๆ รองรากให้ไม่งอ รดน้ำแล้วทำร่มเงาชั่วคราวด้วยตะแกรงพอดีมือเพื่อไม่ให้แดดแรงช่วงสายเผาใบอ่อน แตงกวาเริ่มเลื้อย เราทำซุ้มแบบง่ายด้วยไม้ไผ่สองคู่ขึงเชือกป่านเป็นแนวให้จับ มะเขือเทศเริ่มงอกในถาดเพาะช้ากว่าที่คิด เราอ่านเจอมาว่ามะเขือเทศไม่ชอบความร้อนจัดในช่วงงอก เลยย้ายถาดไปไว้ใกล้หน้าต่างในบ้านที่แสงอ่อนกว่า ปรากฏว่าอีกสองวันถัดมางอกพรึ่บ เราหัวเราะกับตัวเองว่าอ่านคู่มือมีประโยชน์จริง ๆ ถ้าอ่านก่อนลงมือทำ

ศัตรูพืชมาเร็วกว่าที่คิด หนอนผีเสื้อเจาะใบคะน้าปุ๊บปั๊บแบบไม่เกรงใจ เราเลือกหยิบมือช่วยเอาออกตอนเช้า นับได้สิบกว่าตัว วันถัดมาอีกสิบกว่าตัว เราเริ่มใจเสียว่าแพ้แล้ว แต่เพื่อนสวนออนไลน์แนะนำให้ผสมน้ำสบู่ล้างจานเจือจางฉีดใต้ใบตอนเย็น ๆ และให้ปล่อยเวลาให้แตนมาเป็นผู้ช่วย อีกสองสามวันถัดมาอาการดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด ใบที่เหลืองกรอบเพราะถูกกัดเราตัดทิ้ง เหลือใบแข็งแรงให้โตต่อไป เราเรียนรู้บทเรียนแรกว่า อย่ารีบใช้สารแรง ๆ ถ้าไม่จำเป็น ธรรมชาติช่วยธรรมชาติได้มากกว่าที่คิด

สัปดาห์ที่สาม แตงกวาเริ่มออกดอกเหลืองเล็ก ๆ คะน้าสูงขึ้น ผักบุ้งเริ่มเลื้อยจนต้องดึงเข้าทาง พริกขี้หนูแกร่งกว่าที่คิด ใบเข้มและแน่น กะเพราและโหระพาโตดีและเริ่มมีกลิ่นหอมเมื่อโดนแดดเช้า เราเริ่มตัดแต่งยอดกะเพราเพื่อให้แตกกิ่งมากขึ้นและไม่ให้สูงจนล้มพร้อมทำใบให้พอสำหรับผัด เราผัดกะเพราในครัววันนั้นด้วยใบที่เด็ดจากสวนตัวเองครั้งแรก กลิ่นมันแรงและหวานกว่าที่ซื้อตลาดอย่างบอกไม่ถูก เราถ่ายรูปจานธรรมดานั้นไว้หนึ่งรูปแล้วส่งให้แม่ แม่ตอบว่า “ดีมากลูก” สั้น ๆ แต่ทำให้เรายืนยิ้มอยู่หน้าชิงช้าเก่าในสวนคนเดียว

มะเขือเทศคือเรื่องเศร้าของฤดูนี้ เราย้ายต้นกล้าลงกระถางใหญ่ แดดแรงช่วงบ่ายทำให้ใบไหม้ขอบ เราลองขยับกระถางให้โดนแดดเช้าอย่างเดียว ปรับน้ำให้น้อยลงและสม่ำเสมอขึ้น ต้นยังยืดหาแสงและไม่ค่อยแตกกิ่ง สุดท้ายออกดอกบ้างแต่ติดผลน้อยมาก หล่นก่อนสุก เราอ่านเพิ่มเติมเรื่องการผสมเกสรด้วยตัวเอง เขย่ากิ่งเบา ๆ ตอนเช้า และเพิ่มโพแทสเซียมเล็กน้อย แต่ก็ดูไม่ทันฤดูนี้แล้ว เราเขียนลงไดอารี่ว่า “มะเขือเทศไม่รักเรา” แล้วขีดทิ้ง เปลี่ยนเป็น “เรายังไม่เข้าใจมะเขือเทศ” คำหลังดูแฟร์กับต้นไม้และตัวเรามากกว่า

น้ำเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ใหม่ในสวนเล็ก ๆ นี้ เราคิดว่ารดเช้า-เย็นพอ แต่พอเจอวันที่ลมแรง น้ำระเหยไว ดินแห้งเร็วกว่าที่ตาบอก เราเริ่มใช้นิ้วจิ้มลงไปสองข้อนิ้วเพื่อตรวจความชื้นจริง ๆ และใช้ฟางคลุมโคนลดการระเหย ภาพสวนจากที่เป็นดินโล่ง ๆ กลายเป็นพรมฟางสีทองบาง ๆ สวยแบบไม่ตั้งใจ แถมช่วยให้ดินนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเวลาจอบคลายดินรอบ ๆ โคน เราเข้าใจคำว่าคลุมดินจากการลงมือมากกว่าจากการอ่าน และคิดว่าบทเรียนนี้ใช้ได้กับใจตัวเองเหมือนกัน บางครั้งเราก็ต้องคลุมใจด้วยกิจกรรมที่ชะลอการระเหยของพลังงาน

สัปดาห์ที่สี่ ถึงเวลาชิมผลแตงกวาล็อตแรก เราตัดลูกที่ยาวประมาณฝ่ามือครึ่ง ผิวเขียวอ่อนนูน เราล้างแล้วหั่นกินสดกับน้ำปลาพริกแบบบ้าน ๆ ความกรอบหวานนั้นทำให้เราเห็นค่าของน้ำที่ลากสายยางเช้าค่ำและผิวที่ดำขึ้นครึ่งเฉดอย่างชัดเจน เราแบ่งให้เพื่อนบ้านลุงป้าข้าง ๆ สองลูก ป้าบอกว่า “กรอบจริง” แล้วถามว่าใส่สารอะไรหรือเปล่า เราหัวเราะแล้วบอกว่าไม่มี มีแต่น้ำกับสบู่เจือจางหน่อยตอนมีหนอน ป้ายิ้มแล้วบอกให้ปลูกต่อไปนะ จะเอาถั่วฝักยาวมาฝากบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนเล็ก ๆ ที่ทำให้รั้วเตี้ยลงโดยไม่ต้องเจาะรู

ปลายฤดูฝนมา ฝนแรงจนใบคะน้าแผ่รับจนหัก เราเอาไม้เล็ก ๆ มาค้ำ แล้วเก็บใบที่หักไปลวกกินกับน้ำพริกแบบไม่ให้เสียของ ผักบุ้งงามจนต้องตัดทิ้งให้บางลงเพราะบังแสงเพื่อนบ้านในแปลงเดียวกัน เราลองปล่อยให้ผักบุ้งเลื้อยไปตามพื้นบ้าง แล้วทำค้างเล็ก ๆ บ้าง เพื่อดูว่ารสชาติต่างกันไหม แบบเลื้อยพื้นใบจะอ่อนกว่าเล็กน้อย ส่วนแบบทำค้างใบกรอบแต่เหนียวกว่าเล็กน้อย ชอบแบบไหนขึ้นอยู่กับเมนูวันนั้น ๆ เราจดไว้เพื่อฤดูหน้า

สิ่งที่สวนฤดูแรกสอนชัดที่สุดคือความใจเย็นและจังหวะ เราอยากเห็นผลเร็ว อยากเห็นมะเขือเทศออกผล อยากเห็นคะน้าไม่มีรู เร่งก็ไม่ได้ โกรธก็ไม่โต เราจึงค่อย ๆ เรียนรู้จะมองน้ำ มองแดด และมองสีของใบ สังเกตว่าผักเหนื่อยหรือสด เราเริ่มพูดกับต้นไม้แบบคนบ้าในยามบ่าย (ยอมรับ) และขอบคุณมันจริง ๆ ตอนตัดใบออกจากต้น เป็นพิธีเล็ก ๆ ที่ทำให้เรากินช้าลงและเคารพอาหารขึ้นอีกนิด

ท้ายฤดู เรารื้อแปลง คลุกดิน เติมปุ๋ยคอกอีกหน่อย ฝังเศษใบและรากที่เหลือลงไป คุณภาพดินนุ่มขึ้นอย่างสัมผัสได้ เราตัดสินใจเก็บเมล็ดแตงกวาจากลูกสุดท้ายที่ปล่อยให้แก่ นำมาล้าง ตาก และเก็บใส่ซองเขียนว่า “ฤดูที่หนึ่ง” วางไว้อย่างภูมิใจบนชั้นหนังสือข้างนิยายเล่มโปรด เหมือนบันทึกเล็ก ๆ ของบ้านที่ไม่ต้องแชร์ให้ใครเห็นก็มีค่าแล้ว

ฤดูหน้าจะลองอะไรใหม่ ๆ เพิ่ม เช่น ผักชีลาว มินต์ และอาจจะลองมะเขือเทศเชอร์รี่อีกครั้งแต่เปลี่ยนพันธุ์ เปลี่ยนที่ และเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ใจเย็นกว่านี้นิดนึง เราไม่ได้อยากเป็นนักทำสวนมืออาชีพ แค่อยากเป็นคนที่บ่ายวันเสาร์มีดินติดซอกเล็บบ้าง ก็พอแล้ว