thammarith

หนึ่งวันในตรัง เดินช้า ๆ กินหมูย่าง ดมกลิ่นกาแฟโบราณ

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ตื่นตั้งแต่เช้าเพราะไฟในห้องพักซึม ๆ เข้ามาทางผ้าม่าน โรงแรมเล็ก ๆ แถวสถานีรถไฟตรังไม่มีอะไรพิเศษ ผ้าห่มหนานิด ๆ กลิ่นสบู่ก้อนที่ยังติดปลอกหมอน แต่เสียงรถไฟเช้าเบา ๆ กับคนลากกระเป๋าผ่านหน้าห้องทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเริ่มวันธรรมดา ๆ ที่อาจจำได้ดีนานกว่าที่คิด

เป้าหมายวันนี้ง่ายมาก เดินเล่นในเมืองโดยไม่วางแผน กินหมูย่างตรังให้ได้ กาแฟโบราณซักแก้ว แล้วค่อยว่ากัน

เดินจากที่พักไปตลาดศาลากลางเก่า คนขายตั้งแผงกันครึกครื้น กลิ่นขนมจีนแกงไตปลาโฉบมาเป็นระยะ แต่ผมหยุดอยู่หน้าร้านหมูย่างที่เขาหั่นกันใหม่ ๆ หนังกรอบเป็นแผ่นสะท้อนแสงใต้หลอดฟลูออเรสเซนต์ สั่งข้าวหมูย่างจานหนึ่ง ไม่กี่นาทีก็ได้จานสีส้มลอก ๆ พร้อมน้ำจิ้มหวานเค็มพอดี กัดคำแรก เสียงกรุบของหนังตามด้วยมันที่ละลายบนลิ้น ผมไม่ได้กินอะไรซับซ้อน แต่กลับยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า

ร้านกาแฟโบราณถัดไปอีกสองบล็อก โต๊ะไม้กลมที่เคลือบแลกเกอร์จนเงา ถ้วยกาแฟเซรามิกหนา ๆ ขอบถ้วยสึกจนกลายเป็นลายเฉพาะตัว เจ้าของร้านอายุราวหกสิบ ถามสั้น ๆ ว่า “หวานมาก หวานน้อย” ผมขอหวานน้อยแบบเกรงใจ แกหัวเราะแล้ววางถ้วยลงพร้อมปาท่องโก๋หนึ่งชิ้นฟรี ๆ กลิ่นกาแฟผสมควันเตาถ่านลอยขึ้นมาแตะจมูก หวานกว่ากาแฟที่กรุงเทพฯ แต่ขมแบบซื่อ ๆ ไม่ซ่อนลูกเล่น ก้อดีไปอีกแบบ

สาย ๆ เดินต่อไปที่วงเวียนพะยูน เมืองตรังกลางวันค่อนข้างเงียบ อาคารชิโนโปรตุกีสดูเหนื่อย ๆ แต่น่ารัก ผมถ่ายรูปหน้าต่างสีซีดและแอร์เก่าที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตามผนัง เหงื่อเริ่มซึมหลังคอ เลยหลบเข้าร้านไอศกรีมโอ่ง ถ้วยเล็ก ๆ รสกะทิหอมเหมือนบ้านยาย

บ่ายแก่ ๆ แดดอ่อนลง จึงแวะไปสวนสาธารณะทับเที่ยง เด็ก ๆ เล่นจักรยาน ผู้ใหญ่เดินเหยาะ ๆ ลู่วิ่งที่ทาสีใหม่ ลมพัดผ่านบึงเล็ก ๆ ทำให้ใบไม้ดังซ่าอยู่ครู่หนึ่ง ผมเปิดเพลงที่ชอบแล้วเดินวนไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเร่ง ไม่มีเดดไลน์ไหนตามทันในสวนตอนห้าโมงเย็น

ค่ำวันนั้นจบลงที่ร้านติ่มซำ เข่งเล็ก ๆ เรียงเต็มถาด เสียงฝาปิดไม้ไผ่ยกขึ้นมีไอน้ำพุ่งออกมาเป็นเส้นสวย ๆ ผมสั่งฮะเก๋า ขนมจีบกุ้ง และซาลาเปาหมูแดง ไส้ร้อน ๆ ทำให้เพดานปากพองนิดหน่อยเพราะรีบไปหน่อย นั่งกินไปมองโต๊ะข้าง ๆ ที่คุณลุงกำลังเล่าเรื่องลูกสาวเรียนจบให้เพื่อนฟัง ใจมันอุ่นแบบที่บอกไม่ถูก

ทั้งหมดเป็นหนึ่งวันที่ไม่ได้ทำอะไรยิ่งใหญ่ แต่กลับคมชัดกว่าวันที่วุ่นวายหลายวันรวมกัน เมืองเล็ก ๆ อย่างตรังไม่ได้ตะโกนให้ใครมอง แต่กระซิบเบา ๆ ว่า ช้าลงก็ยังดีอยู่ ผมเชื่อแกนะ อย่างน้อยก็วันนี้แหละ

เช้าถัดมา ผมเดินกลับไปที่สถานี รถไฟเข้าจอดช้า ๆ คนโบกี้หน้าสุดโผล่หัวมามอง โบกมือให้กันเล่น ๆ แบบคนแปลกหน้าที่พอจะรู้สึกคุ้น ผมขึ้นรถ นั่งริมหน้าต่าง ปล่อยตาไหลไปตามแนวต้นยาง กลับกรุงเทพฯ ด้วยใจที่ช้าลงครึ่งคีย์จริง ๆ

ระหว่างที่นั่งเขียนบันทึกนี้ ผมลองไล่ย้อนใหม่ว่าทำไมตรังถึงทำให้จังหวะหัวใจช้าลง ทั้ง ๆ ที่ผมอยู่แค่หนึ่งวันครึ่ง คำตอบคงเป็นเพราะเมืองเล็ก ๆ แบบนี้วัดเวลาเป็นจังหวะคน ไม่ใช่จังหวะงาน รถสัญจรช้า ทางเท้ายาวพอให้เดินคุยกับตัวเองได้ ร้านกาแฟไม่รีบไล่ลูกค้า และคนขายของตลาดมีเวลามองหน้าคนซื้อก่อนคิดเงิน สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้สวยงามเป็นพิเศษ แต่มันสะสมเป็นความรู้สึกที่ว่าคุณไม่ต้องรีบถูกใครตัดสินในทุกสิบนาที

บ่ายวันก่อนกลับ ผมแวะไปดูหอนาฬิกาเก่ากลางเมือง หอนาฬิกาที่ใคร ๆ ผ่านทุกวันจนลืมมอง มันไม่ได้สูงใหญ่อะไร แต่พอยืนดูเข็มนาทีเคลื่อนช้า ๆ ก็เหมือนดูภาพยนตร์สั้นที่ไม่มีเนื้อเรื่อง ผมยืนอยู่นานจนคุณลุงที่ขายน้ำอ้อยใกล้ ๆ ทักว่า “มาจากไหน” ผมตอบว่า “กรุงเทพฯ” แกพยักหน้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “กรุงเทพฯ รีบเนอะ” ผมหัวเราะแล้วรับแก้วน้ำอ้อยเย็น ๆ มา ดูดหนึ่งอึกเหมือนดูดความใจเย็นของเมืองเข้าไปนิดนึง

ผมลองขึ้นรถตุ๊ก ๆ สีฟ้ารอบเมืองแบบไม่รู้ปลายทาง บอกคนขับว่าอยากไปดูย่านบ้านเก่า แกพาอ้อมเลาะซอยให้ดูหน้าต่างไม้บานเกล็ด โค้งประตูที่ยังมีร่องรอยสีเดิม ๆ และชื่อร้านที่เพนต์ด้วยมือยุคก่อนคอมพิวเตอร์ บางร้านปิดถาวร บางร้านยังขายอยู่ เสียงเครื่องยนต์ครางสม่ำเสมอจนกลายเป็นดนตรีประกอบของภาพที่เลื่อนผ่านตา ผมจ่ายค่าโดยสารเกินไปนิด คนขับผลักเงินทอนกลับมาแล้วบอกว่า “อยู่ตรังอย่าใจร้อน เดี๋ยวพลาดของอร่อย” เป็นคำแนะนำที่ดีจนอยากเขียนด้วยปากกาลงบนฝ่ามือ

กลางคืนผมเดินกลับที่พักผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ไฟเหลืองส้มส่องไม่เท่ากัน เห็นอาม่านั่งแกะถุงขนมเตรียมขายวันรุ่งขึ้น กลิ่นน้ำมันเก่าจาง ๆ ผสมเสียงทีวีช่องท้องถิ่นที่เปิดข่าวช้า ๆ บรรยากาศแบบนี้เคยคิดว่าเฉย แต่พออยู่เมืองใหญ่จนชิน กลับรู้สึกว่าความคืบช้า ๆ ของคืนเล็ก ๆ นั้นทำให้หัวปลอดภัยอย่างประหลาด

ถ้าจะให้แนะนำคนที่อยากมาเดินเล่นตรังแบบวันเดียว ผมคงบอกว่าเริ่มเช้าที่ตลาด กินหมูย่างกับกาแฟโบราณให้เรียบร้อย แล้วเดินไปย่านอาคารเก่า ถ่ายหน้าต่างและป้ายร้านเท่าที่อยาก จากนั้นแวะสวนทับเที่ยงช่วงบ่ายแก่ ๆ ปล่อยตัวให้นั่งเฉยได้ครึ่งชั่วโมงโดยไม่หยิบมือถือขึ้นมา ค่ำค่อยไปติ่มซำ ปิดท้ายด้วยเดินกลับโรงแรมช้า ๆ ถ้ารู้สึกอยากซื้อของฝาก ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องกวาดทุกอย่าง เพราะของฝากที่ดีที่สุดจากเมืองแบบนี้คือจังหวะที่ช้าลงจริง ๆ ไม่ใช่ของในถุงพลาสติก

ผมกลับถึงกรุงเทพฯ ตอนเย็น รถแน่นตั้งแต่ลงทางด่วน เสียงแตรดังมาจากหลายทิศ ข้างทางมีคนขายดอกมะลิยืนยิ้มจาง ๆ ไฟแดงนานจนมีเวลาหายใจยาวหนึ่งรอบ เตือนตัวเองว่าเราพกตรังมาด้วยได้ ผ่านวิธีง่าย ๆ อย่างการกินช้าลง เดินช้าลง และพูดกับคนขายของหน้าปากซอยก่อนรีบจ่ายเงิน ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่จำเป็นต้องปั่นป่วนเสมอไป แค่เรายอมหมุนเข็มในใจให้ช้าลงครึ่งคีย์อีกสักนิด

สุดท้าย ขอบันทึกไว้เผื่ออนาคต: ถ้ารู้สึกว่าทุกอย่างไวเกินไป ให้ซื้อตั๋วไปเมืองเล็ก ๆ สักเมือง ไม่ต้องมีแลนด์มาร์ก ไม่ต้องมีแผน กินข้าวง่าย ๆ แล้วเดินดูหน้าต่าง ทีละบาน ทีละบ้าน เดี๋ยวเราจะค่อย ๆ จำได้เองว่าชีวิตไม่เคยต้องมีเนื้อเรื่องใหญ่ตลอดเวลา บทสั้น ๆ ระหว่างฉากต่างหากที่ทำให้คนดูอยากอยู่ต่อจนจบเรื่อง