thammarith

สวนหลังบ้านซีซันแรก: กะเพรา โหระพา และมดไฟ

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

เริ่มจากยกแปลงเล็ก ๆ ทำจากพาเล็ตเก่า ใส่ดินผสมปุ๋ยคอก หว่านเมล็ดกะเพรากับโหระพาไว้ครึ่งแปลง อีกครึ่งปลูกมินต์กับผักชีฝรั่ง สัปดาห์แรกยังไม่เห็นอะไรนอกจากดินชื้น ๆ จนวันที่สิบมีจุดเขียว ๆ โผล่มา ดีใจเว่อร ก้มดูใกล้ ๆ แล้วก็ป้องกันตัวจากมดไฟทันที เจ็บแบบรู้เรื่อง ความตื่นเต้นปะปนเจ็บคันที่ข้อเท้าเป็นพิธีเปิดซีซันแบบบ้านๆ ที่จำไม่ลืม

เดือนแรกต้องรดน้ำเช้าเย็นเพราะแดดแรงมาก ใบไหม้ไปหลายต้น ลองทำร่มเงาชั่วคราวด้วยผ้าขาวบาง ก็ช่วยได้ ระหว่างทางเจอเพลี้ยเล็ก ๆ ติดใต้ใบ ใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ ฉีดพ่นสองวันติดก็หาย สังเกตว่าต้นที่อยู่ชิดกันเกินไปโตช้ากว่า เลยถอนแยกให้มีที่ว่างหายใจ ลังเลตอนถอนเหมือนกัน กลัวจะช้ำ แต่สุดท้ายต้นที่เหลือกลับโตเร็วขึ้นแบบเห็นได้ชัด เหมือนเราให้พื้นที่กันเองนั่นแหละถึงจะโต

ความสุขของสวนหลังบ้านไม่ใช่ภาพสวยตอนสุดท้าย แต่คือการได้ยืนถือบัวรดน้ำตอนหกโมงเย็นแล้วมองหยดน้ำตกลงบนใบทีละเม็ด เห็นแสงเย็นสะท้อนบนผิวหยดเหมือนกระจกเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน ผักคนละครึ่งแปลงกลายเป็นตัววัดเวลาและอารมณ์ประจำวัน ถ้าวันไหนลืมรดน้ำ ใบจะคอตกให้รู้ตัวทันที เหมือนส่งจดหมายเตือนว่าหายไปไหนมา

ผมเริ่มทำบันทึกเล็ก ๆ ข้างแปลงโดยใช้ไม้ไอติมจิ้มเขียนวันที่หว่านและวันที่เด็ดครั้งแรก กะเพราต้นที่หนึ่ง: 21 วันเริ่มเด็ดยอด, โหระพา: 25 วัน เริ่มหอมชัด, มินต์: โตช้ากว่าเพื่อนแต่พอรอดแล้วแผ่ไวมาก ผักชีฝรั่ง: งอแงหนัก ต้องคอยระบายดินไม่ให้อมน้ำเกิน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจคำว่า microclimate แม้สวนจะเล็กจิ๋ว แต่ซ้ายขวาหน้าหลังแดดไม่เท่ากัน ลมไม่เท่ากัน น้ำไม่เท่ากัน ผลเลยต่างกันชัดเจน

มีวันหนึ่งฝนตกหนักต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง น้ำขังในแปลง แอบเครียดว่ารากจะเน่า เลยเอาเสียมเล็ก ๆ เจาะรูระบายน้ำขอบแปลงช่วย พอฝนซาลงเห็นไส้เดือนโผล่มาใกล้ ๆ พืช มันคือตัวบอกคุณภาพดินที่ดีที่สุดแบบไม่ต้องส่งแล็บ ทุกครั้งที่เห็นไส้เดือน ผมจะหยุดทำทุกอย่างแล้วมองมันเดินช้า ๆ อยู่สองสามนาที เหมือนเจอเพื่อนร่วมทีมลับที่ช่วยพรวนดินฟรีโดยไม่บ่น

เรื่องที่คาดไม่ถึงคือมดไฟ มันตั้งฐานอยู่ใต้แปลงอย่างกับจองโซน พอรดน้ำแรงไปนิดพวกมันจะโกรธและปีนขึ้นมาที่ข้อเท้าอย่างรวดเร็ว วันแรกที่โดนกัด 4 จุด ผมเต้นอยู่กลางสวนแบบขำ ๆ และเจ็บ ๆ พร้อมกัน จากนั้นเรียนรู้ที่จะรดน้ำให้เบาลง ใช้หัวบัวแบบฝอยแทนแบบสายตรง และยืนถอยห่างครึ่งก้าว พอเราปรับพฤติกรรม มดก็เหมือนไม่สนใจเราเท่าเดิม อยู่ร่วมกันได้อย่างมีกติกาขำ ๆ

เดือนที่สองเริ่มเด็ดกะเพราไปผัดกับหมูสับ ใส่พริกสวนหอม ๆ กลิ่นที่ลอยจากกระทะทำให้ทั้งบ้านเงียบลงเหมือนพร้อมกันหายใจเข้า ผัดเสร็จชิมคำแรกแล้วเผลอพูดว่า โอ้ว นี่มันถึงเครื่องเกินเหตุ เพราะเด็ดตอนเช้าแบบใบตึง ๆ น้ำมันหอมระเหยมันพีคจริง ๆ รสชาติไม่ต่างจากซื้อหรอก แต่ฟีลลิ่งคนปลูกเองนี่สิ อร่อยเป็นพิเศษ เราถ่ายรูปแล้วส่งรูปไปให้แม่ แม่ตอบกลับว่า “ระวังรดน้ำเยอะนะ รากจะเน่า” เป็นคำเตือนที่ฟังมาร้อยครั้งแต่ก็ยังต้องฟังอีกร้อยครั้ง

โหระพาพอเริ่มแตกกิ่งเยอะ ผมลองเด็ดยอดสลับด้านซ้าย-ขวา เพื่อให้สมดุล ตอนแรกก็เดา ๆ เอา แต่ผลที่ได้คือทรงพุ่มสวยขึ้นและไม่ล้มง่ายเวลาเจอลมแรง วันที่ลมใต้พัดมาหนัก ๆ เห็นชัดว่าต้นที่เราตัดแต่งดีจะยืนได้ดีกว่า ต้นที่ปล่อยไปตามยถากรรมหน้าตาจะเหมือนพุ่มยุ่ง ๆ และโค้งงอง่าย นี่คงเป็นมนต์ของคำว่า “ดูแล” ที่ต้องใช้ตากับมือมากกว่าแค่ความรัก

ผมเริ่มทดลองทำปุ๋ยหมักแบบง่าย ๆ จากเศษผักในครัว ผักบุ้ง เห็ด ก้านผักกาด แยกใส่ถังเล็ก ปิดฝาหลวม ๆ กลิ่นออกมาบ้างในสัปดาห์แรกแต่พอคนบ่อย ๆ ก็จบดี เอาน้ำหมักเจือจางไปรดสัปดาห์ละครั้ง ใบเขียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ต้องระวังความเข้มข้น ครั้งแรกผมแรงมือไปหน่อย ใบโหระพาเป็นรอยไหม้เล็ก ๆ เตือนใจว่ากับข้าวทุกอย่างต้องชิมก่อน ไม่ใช่แค่ของคน พืชก็ด้วย

กลางซีซันมีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจพองฟู เช้าวันเสาร์นั่งดูผีเสื้อบินวนอยู่เหนือดอกโหระพาเล็ก ๆ สีม่วงซีด มันไม่หวือหวาอะไร แต่แปลว่าพื้นที่เล็ก ๆ นี้เริ่มชวนเพื่อนบ้านในระบบนิเวศมาหยอกเล่นแล้ว เรานั่งนิ่งอยู่นานจนลืมว่ามีงานบ้านอีกกอง รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงโดยไม่ต้องตั้งใจ

ผักชีฝรั่งที่งอแงในเดือนแรก กลับกลายเป็นฮีโร่ในเดือนสาม เมื่ออากาศเย็นลงนิด ๆ มันเริ่มแตกใบสวย ตัดใส่ซุปไก่แล้วหอมมาก ช่วงนั้นผมเริ่มเรียนรู้ว่าบางต้นไม่ได้ช้า แต่มันแค่กำลังรอจังหวะของมัน เราชอบเร่งผ่านฤดูกาลอย่างคนเมือง แต่พออยู่กับดิน เราต้องยอมให้ฤดูกาลทำงานของมันเอง

ปัญหาที่ตามมาแบบไม่ได้ชวนคือเพลี้ยแป้งใต้ใบมินต์ เห็นเป็นปุยขาวๆ เล็กๆ ช่วงเย็นวันหนึ่ง ผมใช้สำลีชุบน้ำสบู่อ่อนเช็ดทีละใบ วันแรกเหนื่อยมากแต่วันถัดมาดีขึ้นชัดเจน สองสามวันก็สะอาด ได้บทเรียนว่า ถ้าจับได้ไว แก้เร็ว ทุกอย่างยังอยู่ในมือเรา แต่ถ้าปล่อยสองสัปดาห์คงยอมแพ้แล้วถอนทิ้งทั้งกระถาง

ปลายซีซันแรก เราลองเพาะเมล็ดพริกจากพริกสวนที่ซื้อมาแห้งๆ แกะเมล็ดล้าง ตาก แล้วปักดินบางๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบคนใจร้อน ได้ต้นอ่อนขึ้นมาบ้างแต่ไม่เยอะ พอได้ดูแลเล่นให้หายคิดถึง การรอเมล็ดงอกเป็นการฝึกใจที่ดี ช่วงแรกจะเงียบมากจนเหมือนปลูกความว่างเปล่า พองอกมาแล้วถึงเข้าใจว่าความเงียบก่อนหน้ามันทำงานอยู่ตลอด

สุดท้ายของซีซัน ผมตัดสินใจปรับแปลงใหม่ ยกดินขึ้นอีกเล็กน้อย เติมปุ๋ยคอกและดินปลูกดี ๆ แทนของเดิมที่เริ่มแน่น แล้ววางแผนสลับที่ปลูกให้กะเพรากับโหระพาไม่อยู่ที่เดิมเพื่อลดโรคสะสม เขียนแผนด้วยดินสอไว้ที่ด้านข้างแปลง เผื่อฝนสาดลบไม่หมดจะได้เห็นคร่าว ๆ ว่าตั้งใจอะไรไว้บ้าง

สิ่งที่สวนหลังบ้านสอนผมในซีซันแรกนี้ไม่ใช่การปลูกผักให้สวยเป๊ะ แต่คือการเรียนรู้จังหวะของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ รวมถึงตัวเราเอง บางวันเราพร้อม บางวันเราไม่ไหว บางต้นโตไว บางต้นช้า บางวันฝนมา บางวันแดดเผา เราทำได้แค่เตรียมดินให้ดี รดน้ำให้พอดี และยอมรับว่าความงามส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งที่เราไม่ได้สั่งให้เกิด มันโผล่มาเมื่อถึงเวลา

ซีซันหน้าผมอยากลองเพิ่มต้นมะเขือเทศเชอรี่และต้นหอมญี่ปุ่น ดูว่าพื้นที่เล็ก ๆ นี้จะรองรับได้แค่ไหน และอยากทำระบบน้ำหยดด้วยท่อเล็ก ๆ ต่อจากถังเก็บน้ำฝน จะได้ไม่ต้องยืนรดนานทุกเย็น (แม้จะชอบยืนก็เถอะ) สวนเล็ก ๆ นี้ทำให้เย็นใจขึ้นเยอะ และทำให้เข้าใจว่าความชื้น ดิน และระยะห่างสำคัญกว่าที่คิดไว้มาก ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำให้รู้สึกถ่อมตัวต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่แบ่งบ้านให้เราอยู่ร่วมด้วยทุกวัน