thammarith

สร้างนิสัยอ่านหนังสือใหม่ในวัยที่เวลาน้อยลง

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ปัญหาใหญ่ของการอ่านไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเวลาที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทั้งจากงาน แชต และการเลื่อนหน้าจอที่ไม่มีวันจบ เราลองปรับใหม่แบบไม่ยิ่งใหญ่ เริ่มจากการวางหนังสือไว้ในจุดที่หยิบง่ายที่สุด หัวเตียง กับกระเป๋าใบเล็กสำหรับออกบ้าน แล้วตั้งใจอ่านเพียง 10 หน้า ไม่ใช่หนึ่งชั่วโมง

สัปดาห์แรกยากที่สุด เพราะความเคยชินจะบอกให้หยิบมือถือแทน แต่พอผ่านไปได้สามสี่วัน สมองเริ่มเชื่อว่า 10 หน้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่าง เราตั้งกฏกับตัวเองว่า อ่านได้ทุกภาษา ทุกประเภท นิยาย สารคดี บทความยาว ไม่ต้องบังคับให้มีสาระตลอดเวลา ความสนุกทำให้เราอยากกลับมาเอง

ตอนกลางคืนเปลี่ยนจากสกอร์ลไอจีมาเป็นหยิบหนังสือแทน ไฟหัวเตียงดวงเล็กช่วยได้มาก ไม่แสบตา ไม่ชวนให้ตื่นนานเกินไป บางคืนเผลออ่านเกิน 20 นาทีไปหน่อย แต่ก็ไม่ต้องโทษตัวเอง วันถัดไปเริ่มใหม่เหมือนเดิม

สองเดือนผ่านไปยอดรวมไม่หวือหวา แต่แจ่มชัดขึ้นว่าชีวิตมีช่วงเวลาที่นิ่งลงจริง ๆ ระหว่างหน้า 35 กับ 36 ของเล่มหนึ่งที่เราไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ ก็กลายเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้วันทั้งวันไหลไปอย่างเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น

ถ้าอยากเริ่มวันนี้ ลองวางหนังสือไว้ใกล้ปลั๊กที่ชาร์จมือถือ แล้วตัดสินใจอ่านก่อนเสียบสาย หายใจลึก ๆ สองที แล้วเริ่ม 10 หน้าก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวแรงเฉื่อยจะทำงานแทนเราเอง

หลังจากเริ่มไปสักพัก เราพบว่ากุญแจสำคัญไม่ใช่จำนวนหน้า แต่เป็น “เวลาที่แน่นอน” มากกว่า เราเลือกเวลา 21:30 ของทุกวันเป็นจุดเริ่ม อ่านจะมากน้อยแค่ไหนไม่สำคัญ ตราบใดที่ได้นั่งลง เปิดหนังสือ และอ่านจริง ๆ ให้ครบ 10 นาทีขึ้นไป สมองจะเริ่มเชื่อมโยงช่วงเวลานี้กับกิจกรรมอ่านโดยอัตโนมัติ เหมือนเสียงกริ่งเรียกเงื่อนไขในห้องทดลองนั่นแหละ แต่อันนี้เรียกตัวเองให้สงบลงแทน

อีกอย่างที่ช่วยคือการจัดบ้านให้ชวนอ่าน แทนที่จะซ่อนหนังสือไว้ในชั้นสูง ๆ เอามันลงมาวางในที่ที่มือจะเอื้อมถึง เช่น โต๊ะกินข้าว มุมหัวเตียง หรือแม้แต่ห้องน้ำ อย่าเก็บไว้เหมือนของรางวัล ให้มันวางอยู่แถวนั้นเหมือนแก้วน้ำ การที่สายตาปะทะปกหนังสือบ่อย ๆ ทำให้โอกาสหยิบมันสูงขึ้นแบบไม่ต้องใช้วินัยเยอะ

เรื่องชนิดของหนังสือ เราเริ่มจากสิ่งที่ “อยากรู้จริง ๆ” ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าควรอ่าน เช่น ถ้ารู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้หนักไปทางงาน ก็ลองอ่านนิยายสั้น ๆ ที่พาเราไปอยู่วงกลมอื่นหนึ่งชั่วโมง ถ้ากำลังสนใจทำขนมปัง ก็อ่านหนังสือสูตรและวิทยาศาสตร์อาหาร ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ลึกพอ เพราะความชอบจะพาให้ลึกเองเมื่อถึงเวลา การบังคับอ่านสิ่งที่ไม่อยากอ่านตั้งแต่แรกทำให้นิสัยนี้หักไปกลางทางได้ง่ายมาก

เราลองทำ “สมุดอ่าน” เล็ก ๆ ขนาด A6 พกติดกระเป๋า ทุกครั้งที่อ่านจบหนึ่งช่วง ก็จดชื่อหนังสือ หน้าที่เริ่ม–จบ และประโยคที่ชอบหนึ่งบรรทัด บางวันไม่ได้ประโยคที่ชอบ ก็จดความรู้สึกง่าย ๆ เช่น “วันนี้อ่านช้า แต่เข้าใจดี” หรือ “ง่วงมาก อ่านไม่ไหว เก็บไว้พรุ่งนี้” สมุดเล่มนี้กลายเป็นบันทึกความต่อเนื่องที่จับต้องได้ เปิดดูเมื่อไหร่ก็รู้สึกดีกับตัวเองนิดหน่อย ซึ่งเพียงพอจะขับเคลื่อนวันถัดไป

ส่วนการติดตามความคืบหน้าแบบดิจิทัล เราเลือกใช้สเปรดชีตง่าย ๆ มากกว่าระบบซับซ้อน สร้างตารางที่มีคอลัมน์ วันที่ ชื่อหนังสือ เวลาอ่าน (นาที) และโน้ตหนึ่งบรรทัด เท่านี้พอ ไม่ต้องสวย ไม่ต้องมีกราฟอะไรเลย จุดประสงค์คือทำให้มองเห็นว่า “เราอ่านไปแล้วกี่วันติด” เลขที่ต่อเนื่องมันมีพลังอย่างประหลาด วันไหนขาด ก็ยอมรับแล้วเริ่มต่อ ไม่ต้องตั้งโทษ

การออกนอกบ้านกับหนังสือเล่มบาง ๆ ก็ช่วย เราพกเล่มที่อ่านง่ายไปกับเราเสมอ โดยเฉพาะตอนนั่งรถไฟฟ้าหรือรอคิวหมอ โอกาสอ่านที่ซ่อนอยู่ระหว่างจังหวะชีวิตแบบนี้รวมกันแล้วมากกว่าที่คิด ถ้ากังวลเรื่องเวียนหัวจากการอ่านบนรถ ลองเริ่มจากบทความสั้น ๆ แทน แล้วค่อยเพิ่มความยาวเมื่อชิน

อีกเทคนิคหนึ่งคือ “อ่านคู่” อ่านสองเล่มในเวลาเดียวกัน เล่มหนึ่งเบา สนุก อ่านได้ทุกเมื่อ อีกเล่มหนักขึ้นมาหน่อยสำหรับเวลาที่สมองสด เทคนิคนี้ช่วยให้เรามีทางเลือกตามสภาวะของตัวเอง ไม่ต้องฝืนอ่านเล่มหนักในวันที่หัวเรียบแบน หรือทิ้งเล่มเบาไปจนลืม ความต่อเนื่องเลยไม่ขาด

สุดท้าย อย่าลืมความสุขของการกลับไปอ่านซ้ำ หนังสือบางเล่มเมื่ออ่านตอนอายุ 20 ให้ความหมายอย่างหนึ่ง แต่พออ่านตอน 30 มันพูดอีกอย่าง ทั้งที่ตัวหนังสือเหมือนเดิม นี่คือเสน่ห์ที่สตรีมมิ่งให้ไม่ได้ การยอมให้ตัวเองอ่านซ้ำบ้างเป็นครั้งคราวทำให้เรารู้จักตัวเองขึ้นนิด ๆ แบบไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้เราอ่านมากขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ทำให้ “การอ่าน” เปลี่ยนจากภารกิจมาเป็นนิสัยเล็ก ๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันจริง ๆ เช้าวันไหนที่วุ่นวาย เราก็ยังหยิบขึ้นมาได้สองหน้าก่อนออกประตู ค่ำไหนที่เหนื่อยเกินไป ก็อ่านบทเดียวแล้วนอน ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่สม่ำเสมอพอ และให้อภัยตัวเองเวลาพลาด เท่านี้ก็ไกลกว่าจุดเริ่มแล้ว