thammarith

เดินเท้า 20 กิโลในกรุงเทพฯ วันเดียว เมืองเดิมในความสูงของสายตาใหม่

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

การเดินเท้ายาวๆ ในกรุงเทพฯ ไม่เคยอยู่ในลิสต์ของเรา ถ้าจะออกกำลังกายเรามักจะเลือกวิ่ง เพราะรู้สึกว่าได้เหงื่อไวกว่า ถ้าจะสำรวจเมืองเรามักจะเลือกจักรยาน เพราะครอบคลุมพื้นที่ได้กว้าง แต่เช้าวันหนึ่งเราตัดสินใจลองเดินไกลๆ ดูสักครั้ง อยากรู้ว่าถ้าให้เวลาทุกอย่างช้าลง โลกจะเล่าอะไรเพิ่มให้ฟังบ้าง เราตั้งเป้าแบบหลวมๆ ว่าจะเดินให้ครบ 20 กิโลเมตร ไม่แข่งกับใคร ไม่จับเวลา ไม่ต้องอัปลงที่ไหน เดินจากบางกอกน้อยไปจนถึงบางกะปิผ่านเส้นทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเก่ามากไปถึงใหม่มาก ระหว่างทางมีแม่น้ำ คลอง ซอยเล็ก ร้านขายของชำ ป้อมตำรวจ และศาลพระภูมิให้เห็นจนชินตา เราคว้าหมวกแก๊ป ขวดน้ำ และรองเท้าผ้าใบคู่ที่ไม่สวยแต่ใจดีต่อเท้า แล้วออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่แรง

เราเริ่มจากทางเท้าริมคลองบางกอกน้อย แสงเช้ากระทบผิวน้ำเป็นประกายจุดเล็กๆ เหมือนกระจกแตกละเอียด เรือหางยาวผ่านไปทิ้งคลื่นเป็นรอยสองเส้น เราเดินผ่านบ้านไม้ที่ยังพอเหลือและตึกแถวที่กำลังซ่อม คุณป้าคนหนึ่งกำลังรดน้ำต้นกระบองเพชรในกระถางพลาสติก เธอยิ้มแล้วถามว่า “ไปไหนแต่เช้า” เราตอบว่าแค่เดินเล่นยาวหน่อย เธอหัวเราะ “ระวังแดดนะ เดี๋ยวโดนตำหนิกลับบ้าน” ประโยคธรรมดาที่กลายเป็นพรให้เราในวันนั้น

เราข้ามสะพานอรุณอมรินทร์แล้วเลาะทางเท้าแคบที่โอบรัดด้วยราวเหล็กและแผงขายของที่กำลังตั้งจนแทบไม่เหลือที่เดิน ที่กรุงเทพฯ การเดินมักเป็นการพูดคุยระหว่างเท้าเรากับสิ่งกีดขวาง เราดันตัวเองผ่านช่องว่างระหว่างราวกับตู้โทรศัพท์เก่าที่ถูกวางชิดผนังมากเกินไป เข้าเขตท่าพระจันทร์ เสียงนกพิราบผสมกับเสียงเครื่องปั่นน้ำแข็ง ริมแม่น้ำตอนเช้ามีคนออกกำลังบ้าง แม่ค้าหาบเร่ขายข้าวเหนียวหมูปิ้งยืนควันคลุ้ง เรากินหนึ่งชุดแบบไม่มากไม่น้อย เพราะอยากให้ท้องทำงานแต่ไม่หนักจนเดินต่อไม่ไหว

เราข้ามไปทางท่ามหาราช แล้วเดินเลียบไปทางพระบรมมหาราชวัง กำแพงขาวสูงลดทอนเสียงวุ่นวายจากถนนใหญ่เหลือเพียงเสียงรองเท้าขูดพื้น เราเดินผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กที่คนขับรถแท็กซี่กำลังอธิบายเส้นทางให้เป็นภาษาอังกฤษแบบจริงใจ เห็นรถบัสนักเรียนจอดเรียงอยู่หน้าศาลหลักเมือง เด็กๆ สะพายกระเป๋าใบใหญ่มากเกินตัว ขณะที่ครูพยายามจัดแถวให้เหลี่ยม เราเดินช้าๆ ให้คนอื่นผ่าน เพราะนี่คือวันของการไม่รีบจริงๆ

เส้นทางจากสนามหลวงไปสะพานผ่านพิภพลีลาเป็นช่วงที่เราชอบที่สุดในเช้า เพราะต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาที่พอดี กาแฟกระป๋องเย็นในมือทำให้การเดินมีจังหวะ เราชอบจังหวะที่ต้องหยุดที่ไฟคนข้าม สีแดงกระพริบเหมือนกำลังถามเราว่าแน่ใจนะว่าจะเดินต่อไปอีก เราแน่ใจ และข้ามไปฝั่งวัดสุทัศน์ ผ่านเสาชิงช้าที่แดงสด เดินเข้าเส้นสำเพ็งด้านที่ยังเงียบอยู่ ร้านผ้ายังไม่เปิด แต่รถเข็นเริ่มขนของเข้าร้าน เราช่วยยกลังหนึ่งด้วยความเผลอใจ เจ้าของร้านยิ้มสั้นๆ แต่ทำให้เรารู้สึกว่าเมืองนี้ยังไม่สูญเสียมนุษย์ที่พร้อมช่วยกันโดยไม่รู้จัก

เข้าสู่เยาวราช เราแวะกินข้าวต้มปลาที่ร้านเก่าในซอยเล็ก น้ำซุปร้อนใส กลิ่นขิงชัด ปลาสด ไม่แพง เรานั่งข้างชายวัยกลางคนที่กำลังอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับจริง เสียงพลิกกระดาษทำให้เราคิดถึงเสียงที่หายไปจากชีวิตในยุคจอเป็นหลัก เขาถามเราว่า “เดินไปไหน” เราตอบไปอย่างซื่อๆ ว่าจะเดินไปแถวประตูน้ำ เขาหัวเราะแล้วส่ายหัว “เอาใจช่วย” ประโยคนี้ทำให้เรารู้สึกว่าความตั้งใจบ้าบิ่นแบบเล็กๆ ของเรามีคนเห็น

พอออกจากเยาวราช เราใช้ถนนเจริญกรุงที่วันนี้ไม่ค่อยรถติดอย่างคาด ผ่านโกดังเก่าที่ปรับเป็นแกลเลอรีและคาเฟ่ เดินข้ามถนนด้วยการมองตาคนขับรถที่ยังสงสัยว่าเราจะข้ามจริงหรือไม่ เราเริ่มเข้าใกล้แยกสี่พระยาแล้วเลี้ยวไปทางถนนทรัพย์ เพื่อหลบความวุ่นวายของสีลมในช่วงสาย ผ่านโรงเรียนเอกชนที่มีเสียงเป่านกหวีดดังสลับกับเสียงเด็กหัวเราะ ไปจนถึงสวนลุมพินีที่เป็นจุดพักใหญ่ของเราในเช้า เรานั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ขยับนิ้วเท้าในรองเท้าให้เลือดไหลเวียน แล้วค่อยเริ่มเดินอีกครั้งรอบทะเลสาบ เห็นเต่าน้อยขึ้นมาผึ่งแดดบนโขดหิน ช้าระดับที่เราชอบ

ออกจากสวนลุม เราเดินเข้าทางราชดำริ ข้ามแยกไปสยามที่ยังไม่เต็มไปด้วยคนมากนัก ห้างยังไม่เปิด ร้านขายอุปกรณ์กีฬาเริ่มขยับประตูเหล็ก เราแวะซื้อถุงเท้าคู่ใหม่เพราะเริ่มรู้สึกว่าคู่เดิมชื้นเกินไป การเดินไกลทำให้เราเรียนรู้เรื่องเล็กๆ เช่น ถุงเท้าคือเพื่อนที่ดีกว่าที่เคยคิด ข้ามสกายวอล์คไปทางประตูน้ำที่ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวเริ่มเจรจากับแท็กซี่ เราเลือกเลี่ยงเส้นพลุกพล่าน ลงสกายวอล์คฝั่งซอยเพชรบุรี 19 แล้วมุดผ่านตลาดเสื้อผ้า ไปทะลุซอยแคบที่มีกลิ่นเครื่องปั่นน้ำผลไม้และกลิ่นน้ำมันเก่าจากร้านทอดไก่ผสมกันอย่างคุ้นจมูก

เรามาถึงคลองแสนแสบช่วงสาย แสงแดดเกือบตั้งฉากกับผิวน้ำ รถเรือวิ่งฉวัดเฉวียนจนเกิดคลื่นสูง เราเดินเลียบคลองทางฝั่งที่มีทางเท้า ซึ่งก็ไม่เรียบเท่าไหร่ แต่ชวนให้คิดถึงคำถามเก่าที่ว่า ทำไมกรุงเทพฯ ถึงยังปล่อยให้ความสวยของคลองฝังอยู่ใต้สะพานและขยะ เราเดินผ่านท่าเรือประตูน้ำ เห็นคนใส่เชิ้ตวิ่งลงเรือกับนักท่องเที่ยวที่หยิบมือถือถ่ายคลิปพร้อมกัน สองโลกที่ซ้อนทับกันโดยไม่ต้องคุย เราเดินต่อผ่านทางเลียบคลองที่เริ่มมีกราฟฟิตี้บนกำแพงเป็นช่วงๆ นึกขำว่ากราฟฟิตี้ที่ดีช่วยให้วันร้อนๆ สนุกขึ้นได้จริง

ตอนเที่ยงเราเลี้ยวเข้าซอยเล็กเพื่อหาข้าวกิน เจอร้านข้าวแกงที่มีโต๊ะสี่ตัว อาหารวางเรียงมากกว่าสิบอย่าง เราตักข้าวราดไข่พะโล้กับผัดผักบุ้งไฟแดง จานธรรมดาที่อร่อยแบบไม่ต้องคิด เราคุยกับป้าเจ้าของร้านนิดหน่อยว่าเดินมาจากฝั่งธน ป้าทำตาโตแล้วถามว่า “ทำไมไม่ขึ้นรถ” เราบอกว่าอยากดูเมืองใกล้ๆ ป้าพยักหน้าแล้วบอกเบาๆ ว่า “ดูให้คุ้ม” ประโยคนี้แปลกดี เพราะมันคือสิ่งที่เราพยายามทำทั้งวันอยู่แล้ว ดูให้คุ้มด้วยเวลา ไม่ใช่ด้วยเลนส์กว้างเพียงอย่างเดียว

บ่ายแก่ๆ เรายอมรับว่าขาเริ่มหน่วง เราเดินผ่านย่านรัชดา-พระราม 9 ที่ตึกกระจกขึ้นผุดเร็วกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเท้าอย่างชัดเจน ทางเท้าบางช่วงหายไปหน้าตาเฉย เราต้องลงถนนอย่างระมัดระวังและรีบกลับขึ้นทางเท้าเมื่อเจอช่อง เราเห็นคนอีกหลายคนทำแบบเดียวกัน ทั้งแม่ลูกที่จูงมือกัน ทั้งคุณลุงที่เข็นรถของ ใจหนึ่งก็โมโหว่าเหตุใดเมืองไม่ดูแลคนเดิน อีกใจหนึ่งก็เห็นว่าคนในเมืองนี้ปรับตัวเก่ง ช่วยเหลือกันผ่านสายตาและการชะลอรถให้กันแบบไม่ต้องร้องขอด้วยคำพูด

เราเข้าเขตลาดพร้าว ถนนกว้าง รถแน่นเป็นคลื่น หัวใจอยากถึงเร็ว แต่เท้าบอกให้ช้าลง เราแวะเซเว่นซื้อเกลือแร่หนึ่งขวด แล้วนั่งขอบฟุตปาธใต้สะพานลอย เห็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสีสดผ่านไปสองคัน เด็กมัธยมซ้อนกันหัวเราะ เรานึกถึงคำว่า “การเดินทางในเมือง” ที่ไม่ควรสะดวกสำหรับรถยนต์อย่างเดียว แล้วคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งเกิดกับคนขี่จักรยานคันหนึ่งที่ถามทางสั้นๆ ก่อนบอกว่า “ขอบคุณนะพี่” น้ำเสียงจริงใจเล็กๆ แปลว่าความหนาแน่นของเมืองนี้ยังไม่กลบความเป็นมนุษย์ไปเสียหมด

เข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนถึงบางกะปิ เราเลือกเดินเลียบคลองแสนแสบอีกครั้ง คราวนี้เงียบกว่าเพราะห่างท่าเรือใหญ่ บ้านเรือนริมคลองดูเหนื่อยแต่ยังยืนอยู่ได้ ต้นพุทธรักษาออกดอกสีส้มบางต้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตามลมมาเป็นพักๆ เราเริ่มนับก้าวเล่นๆ เพื่อไม่ให้ใจไปคิดถึงระยะทางที่เหลือ เราคิดถึงประโยคในหนังสือเดินทางเล่มหนึ่งที่บอกว่า “เดินคือการคุยกับเวลาแบบช้าๆ” วันนี้เราเข้าใจมันมากขึ้น เราไม่ได้ชนะระยะทาง เราชนะความใจร้อนของตัวเองต่างหาก

เราไปจบที่หน้าห้างเก่าแถวบางกะปิ แดดบ่ายสามยังแรง แต่ใจสงบแบบแปลกๆ เราเช็คนาฬิกาดูระยะทางที่นับคร่าวๆ ได้ 20 กิโลเมตรนิดๆ เหงื่อเค็มบนหน้าผากทำให้สายตาพร่าเล็กน้อย เราซื้อไอศกรีมแท่งห้าบาทจากรถขายหน้าห้าง กัดคำแรกแล้วเย็นจนฟันสั่น หัวเราะเบาๆ คนเดียวอย่างไม่อายใคร เหนื่อยแบบดีที่หายากในเมืองนี้

สิ่งที่ได้จากวันเดินยาวนี้มีมากกว่าแค่ระยะทาง หนึ่ง เราเห็นว่ากรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองของคนเดินได้ถ้าเลือกชั่วโมงที่ใช่และเส้นทางที่พอมีที่ให้เท้า สอง เราเห็นว่าทุกย่านมีคนของมันเองพร้อมจะยิ้มให้คนแปลกหน้า สาม เราได้บทสนทนาเล็กๆ ที่ไม่น่าจำแต่ดันจำได้นาน เช่นป้าที่เตือนเรื่องแดด ชายอ่านหนังสือพิมพ์ที่เอาใจช่วย หรือป้าที่บอกให้ดูให้คุ้ม สี่ เราได้ทบทวนว่าความสุขไม่จำเป็นต้องเร็วหรือแพง มันอาจเป็นข้าวต้มปลา กาแฟกระป๋อง เสียงพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ และไอศกรีมแท่งห้าบาท

ถ้าจะฝากข้อแนะนำสำหรับใครอยากลองเดินยาวในกรุงเทพฯ:

  • เริ่มเช้ากว่าที่คิดหนึ่งชั่วโมง แดดจะใจดีกว่า
  • ถุงเท้าและรองเท้าสำคัญกว่ากล้อง อย่าประหยัดผิดที่
  • อย่ากลัวที่จะเลี่ยงถนนใหญ่ ใช้ซอยลัดที่คนในพื้นที่ใช้จริง
  • น้ำหนึ่งขวดพกตลอด แต่ไม่ต้องพกเยอะจนหนัก เพราะร้านสะดวกซื้อมีทุกระยะ
  • หยุดคุยกับคนที่อยากคุย ได้บทสนทนาที่ทำให้เมืองมีหน้า

เดิน 20 กิโลในกรุงเทพฯ ไม่ได้เปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่ แต่มันเปลี่ยนระดับเสียงในหัวให้นุ่มลง เรากลับบ้านด้วยขาที่ล้าแต่ใจที่เบา และสัญญาว่าครั้งหน้า จะลองเดินอ้อมแม่น้ำอีกฝั่งบ้าง เดินข้ามสะพานที่ไม่คุ้นบ้าง ให้เมืองยังพอมีอะไรให้เล่าให้ฟังอีกนานๆ