เดินถ่ายรูปย่านพระนคร กล้องฟิล์มม้วนที่เกือบลืมล้าง
บ่ายวันอาทิตย์หยิบกล้องฟิล์มกับเลนส์ 35 มม. เดินจากเสาชิงช้าไปทางคลองคูเมืองเก่า แสงสวยเฉียง ๆ ตกลงบนกำแพงปูนสีซีด คนขายดอกไม้ข้างถนนยิ้มให้แบบเขิน ๆ ขอถ่ายหนึ่งใบ แป๊บเดียวก็มีเสียงตูมจากประตูวัดด้านใน สะดุ้งเล็กน้อยแล้วหัวเราะกับตัวเอง ม้วนนี้ตั้งใจถ่ายให้ช้า ถ่ายให้น้อย แต่คิดให้มากขึ้นกว่าปกติ อยากดูว่าพอพื้นที่น้อยลง การมองเห็นจะชัดขึ้นจริงไหม
หัวมุมถนนเล็ก ๆ มีร้านขายธูปเทียนที่ยังคงวางสินค้าในลังไม้เก่า ๆ ป้ายราคาเขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดง ผมหยุดมองอยู่นานกว่าเหตุผลบอกให้ทำ เพราะสีที่ซีดลงตามเวลา บวกกับผิวไม้ที่แตกเป็นเสี้ยน ๆ มันพูดถึงผู้คนมากกว่าตัวสินค้า กล้องค้างอยู่ที่หน้าอกสักพัก ก่อนจะยกขึ้นลองเฟรมแบบ 1/125 f8 โฟกัสแถว ๆ ขอบลังด้านหน้าและรอให้มือคนขายหยิบธูปขึ้นมาพอดี เป็นภาพแรก ๆ ของวันนั้นที่รู้สึกว่าได้เรื่องราวมากกว่าสิ่งของ
เดินเลยไปหน่อย เจอผนังปูนที่มีรอยลอกเป็นชิ้น ๆ หนังสือพิมพ์เก่าถูกใช้ปิดรูที่เคยมีโปสเตอร์แปะ แสงแดดเฉียงสะท้อนออกจากผนังตรงนั้น กลายเป็นตัวแบบชั่วคราวที่น่าสนใจ ผมยกกล้องขึ้นแล้วลดสปีดลงไปที่ 1/60 เพื่อให้ได้เนื้อแสงนุ่ม ๆ ค่อย ๆ หายใจออกยาว ๆ ก่อนกดชัตเตอร์ ความนิ่งของนิ้วชี้ตรงจังหวะนั้นสำคัญกว่าความคมแบบไร้ที่ติที่เรามักจะอยากได้จากกล้องดิจิทัล นี่คือเสน่ห์ของฟิล์มที่ผมชอบ มันยอมให้ภาพมีความสั่นไหวเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกเป็นมนุษย์มากขึ้น
ร้านน้ำชาตรงหัวโค้งมีชายชรานั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนเก้าอี้พลาสติกสีซีด เสื้อยืดสีขาวที่ผ่านการซักจนบางลงทำให้เห็นเนื้อผ้าละเอียดชัด ผมขอถ่ายรูป เขาพยักหน้าช้า ๆ แบบไม่ยิ้มไม่บึ้ง หน้าตรงกับกล้องแต่ตายังอ่านตัวหนังสือต่อ มือขวาจับขอบหน้ากระดาษ ช่วงพับพอดี ผมขยับไปด้านข้างครึ่งก้าวเพื่อให้เสาไฟเข้ามาอยู่ในเฟรมด้านซ้าย เป็นเส้นนำสายตาเล็ก ๆ ที่ช่วยดันให้สายตากลับไปที่คน อ่านรูปก่อนกดชัตเตอร์หนึ่งวินาทีแล้วค่อยกด อารมณ์ในหัวนิ่งตามไปด้วย
พอเดินถึงสะพานเล็ก ๆ เหนือคลองคูเมืองเก่า ผมยืนดูน้ำอยู่พักหนึ่ง ข้างล่างมีเป็ดน้ำสองตัวว่ายสวนกันแล้วแยกย้ายไปคนละทาง ผิวน้ำสะท้อนแนวตึกและท้องฟ้าเป็นลายแตกละเอียดคล้ายเศษแก้วที่โดนคนเขย่า ผมไม่ได้ถ่ายภาพตรงนั้น เพราะรู้สึกว่าการยืนดูเฉย ๆ มันพอแล้ว ภาพบางภาพควรอยู่ในหัว ไม่ใช่บนฟิล์ม เรามักลืมให้รางวัลตัวเองด้วยการ “ไม่ถ่าย” ทั้งที่เป็นการเลือกที่ดีมากในบางครั้ง
ช่วงต่อไปผมตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าถ้าในเฟรมจะมีคน ขอให้คนในภาพไม่ใช่แค่สิ่งประดับ มันต้องมีความหมายกับฉากนั้นจริง ๆ ภาพหนึ่งที่ชอบมากคือผู้หญิงคนหนึ่งยืนรอรถเมล์ เธอถือถุงผ้าเก่า ๆ ลายดอกไม้ที่สีซีดลงจนแทบมองไม่ออกว่าลายอะไร แสงตอนนั้นเอียงลงมาโดนใบหน้าครึ่งหนึ่งพอดี อีกครึ่งอยู่ในเงา ผมเลือกให้ความมืดกินไปมากกว่าที่ตาเห็น แล้วรอให้รถเมล์ที่กำลังเข้าป้ายข้างหลังอยู่เข้ามาในตำแหน่งที่ตัวหนังสือป้ายเบอร์รถทับกับขอบหัวของเธอเล็กน้อย เพื่อผสมความชุลมุนของเมืองเข้าไปในภาพที่นิ่ง ๆ เหลือเชื่อว่าพอภาพออกมา มันดันเล่าเรื่องความรอคอยได้มากกว่าคำบรรยายยาว ๆ ที่จะเขียนได้
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแต่ลมยังพัดเป็นพัก ๆ ผมเดินผ่านศาลเจ้าจีนเล็ก ๆ ที่มีธูปปักเรียงกันควันบาง ๆ ลอยขึ้นไป ผนังด้านหลังสีแดงสด ตัดกับเครื่องเซ่นสีทองที่แวววาว ผมวัดแสงให้พอดีบนผนังแล้วปล่อยให้ธูปโอเวอร์ไปหน่อย เพื่อให้ควันดูฟุ้งละมุน เห็นคนวัยกลางคนมากราบไหว้แล้วลุกไปอย่างรวดเร็ว รูปที่ได้คือเก้าอี้ว่างเปล่าสองตัวหน้าศาล กับควันธูปที่ยังค้างอยู่ เป็นภาพที่เงียบมาก ถ้ามีเสียงคงเป็นเสียงลมหายใจของคนเมื่อครู่ที่เพิ่งจากไป
ใกล้เย็นผมวกกลับมาที่เสาชิงช้าอีกครั้ง แสงตอนนี้กลายเป็นทองอมส้ม คนเริ่มออกมาเดินมากขึ้น เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งหัวเราะกันดัง ๆ ผมไม่ได้ถ่ายพวกเขา แต่เก็บภาพเงายาวของขาและรองเท้าที่ทอดบนพื้นแทน เงายาวที่เกือบแตะกันแต่ไม่แตะ คล้ายบทสนทนาที่ไม่ต้องใช้คำพูด ภาพแบบนี้ดูง่ายแต่จะได้พอดีต้องรอนานกว่าที่คิด เพราะเงาเคลื่อนเร็วมากในช่วงก่อนตะวันตกดิน
ม้วนนี้ผมถ่ายแค่ 28 ใบจาก 36 ใบ และตั้งใจเก็บอีก 8 ใบไว้ถ่ายตอนเดินกลับรถเมล์ เพราะแสงยอดเยี่ยมช่วงสุดท้ายมักเกิดตรงที่เราอยู่ไม่พอดีเสมอ ระหว่างเดิน กลิ่นอาหารจากรถเข็นลอยมาชนจมูก เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันกระทะเก่าที่คุ้นเคยและพริกที่เพิ่งสับหยาบ ๆ เสียงฉ่าเมื่อหมูลงกระทะดังผ่านคนเดินเท้าเป็นชั้น ๆ เป็นอีกภาพที่ไม่ได้ถ่าย แต่ผมยังได้ยินมันอยู่จนถึงตอนนี้
กลับถึงบ้าน ผมเกือบลืมล้างฟิล์มม้วนนี้จริง ๆ เพราะเอาไปวางตรงชั้นหนังสือแล้วมีหนังสือซ้อนทับ ผ่านไปสัปดาห์นึงถึงได้หยิบออกมาใส่ซองไปส่งล้าง พอรับไฟล์สแกนกลับมา เปิดดูบนจอใหญ่แล้วแอบกลั้นหายใจ ภาพหลายใบคมไม่สุด ขยับนิด ๆ อย่างที่รู้ตัวตอนกด แต่บรรยากาศกลับอยู่ครบ ความเบลอเล็ก ๆ ทำให้มันอ่อนโยนขึ้น ภาพผนังปูนลอกที่ตั้งใจไว้ตอนต้นกลายเป็นภาพโปรด เพราะความไม่เป๊ะนี่แหละ
จบวันที่พระนคร ผมได้รูปที่เล่าเรื่องวันธรรมดา ๆ ของเมือง ไม่ใช่แลนด์มาร์ก ไม่ใช่สถานที่ ขอแค่แสงที่ดีและเวลาที่พอ แถมได้บทเรียนที่อยากเขียนไว้เตือนตัวเอง: ถ่ายให้น้อยแต่คิดให้มากขึ้น, เคารพคนในภาพเสมอ, ถ้าไม่แน่ใจให้รอครึ่งจังหวะ, ถ้ารอแล้วไม่เกิดอะไร ก็ยอมเดินต่อ ภาพถ่ายที่ชอบที่สุดบางใบคือภาพที่เราไม่ถ่าย วันหน้าถ้าได้กลับไป ผมอยากลองม้วนขาวดำในเส้นทางเดิม แล้วดูว่าความเรียบของมันจะพาให้เราเห็นรูปทรงและเงาได้ชัดขึ้นอีกแค่ไหน