thammarith

ปั่นจักรยานกรุงเทพฯ ตอนเช้า เส้นทางริมแม่น้ำและย่านเก่า

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ก่อนพระอาทิตย์โผล่พ้นตึก เราก็ยกจักรยานคันคู่ใจลงจากลิฟต์คอนโด ลมตอนเช้าในกรุงเทพฯ มีความพิเศษของมันเอง ไม่ใช่ลมเย็นแบบเมืองหนาว แต่เป็นลมที่ยังไม่ร้อน ยังไม่มีกลิ่นไอเสียสะสม และยังไม่มีเสียงบีบแตร ส่วนใหญ่เป็นเสียงกวาดถนน เสียงน้ำจากสายยางของพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเปิดร้าน เสียงนกที่มาแวะกินเศษข้าวในซอกหลืบ และเสียงโซ่จักรยานที่ยังลื่นอยู่เพราะเพิ่งหยอดน้ำมันเมื่อคืน เราปั่นช้าๆ ลงเกียร์เบา ตั้งใจให้หัวใจตื่นช้าไปกับเมือง

เส้นทางที่วางไว้วันนี้เริ่มจากสะพานพระปิ่นเกล้า ข้ามไปฝั่งพระนคร เลียบแม่น้ำไปจนถึงปากคลองตลาด แล้ววกเข้าถนนจักรเพชร ลัดเข้าคลองโอ่งอ่างก่อนเจอฝูงคนและสเก็ตบอร์ด เราเลือกเสื้อยืดสีอ่อน กางเกงขาสั้น และหมวกแก๊ปธรรมดาๆ เพราะอยากจะกลืนไปกับเมือง ไม่ได้อยากดูเหมือนนักกีฬา เรามีขวดน้ำหนึ่งขวดกับเงินสดไม่กี่ร้อยสำหรับกาแฟและขนมปังหนึ่งชิ้นสองชิ้นพอ ไฟท้ายกับไฟหน้าเปิดไว้แม้ฟ้าจะเริ่มสว่าง เพราะกรุงเทพฯ ตอนเช้าก็ยังมีมุมอับที่คนขับไม่ทันสังเกตอยู่ดี

ตอนขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าช่วงเช้า จะเห็นแสงบางๆ สะท้อนผิวน้ำแบบเงินๆ เรือด่วนเจ้าพระยายังไม่แน่น มีคนไปทำงานกะเช้าและคนที่กลับจากกะดึกยืนพิงราวเรือ มองเงาตัวเองในน้ำแล้วส่ายหน้าเบาๆ เหมือนจะไล่ความง่วง เราปั่นชิดซ้าย ระวังรถเมล์สายที่ผ่านบ่อยๆ แวะหยุดหายใจบนยอดสะพานแป๊บหนึ่ง มองไปทางท่าพระจันทร์ ตึกสถาปัตย์ของคณะเก่าๆ ยังงามแบบที่เคยเห็นสมัยเรียน แค่ตอนนี้มีเครนก่อสร้างอยู่ไกลๆ เป็นฉากหลัง เหมือนเตือนว่าเมืองไม่เคยหยุดนิ่ง

ลงจากสะพาน เราปั่นเลียบแม่น้ำ เจ้าพระยาตอนเช้าจะมีหมอกบางๆ เกาะที่ชายฝั่ง ดูบ้านไม้เก่าที่อยู่ปนๆ กับตึกแถวและอาคารใหม่ แล้วคิดถึงคำถามที่คนชอบถามกันว่า กรุงเทพฯ ควรจะเป็นเมืองแบบไหน เราไม่ค่อยมีคำตอบหรอก แต่รู้สึกว่าเมืองที่ปล่อยให้คนปั่นจักรยานได้ปลอดภัยอีกนิด คงทำให้ผู้คนใจเย็นลงหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีที่ให้คนเดินและคุยกันไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องเบียดรถ เราฝันกลางวันบนอานจักรยานเหมือนเคย แล้วหัวเราะตัวเองเบาๆ เพราะรู้ว่าฝันนี้ก็เล็กๆ ของคนธรรมดา

เราแวะจิบน้ำที่ปากคลองตลาด ร้านดอกไม้บางร้านเปิดแล้ว กลิ่นดอกมะลิแรงจนเหมือนเดินอยู่ในพิธีอะไรสักอย่าง แม่ค้าบางคนจัดพวงมาลัย บางคนกำลังแกะกลีบดอกไม้เตรียมใส่ถาด เห็นพวงกุหลาบแดงเรียงกันเป็นช่อใหญ่ๆ แล้วนึกถึงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา จับได้ว่าตัวเองชอบดอกไม้สีขาวกับสีเหลืองมากกว่า และรู้สึกดีที่กรุงเทพฯ ยังมีที่ให้เราเห็นดอกไม้ในปริมาณมากๆ แบบไม่ต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้า เราซื้อดอกกุหลาบขาวสามดอก ใส่กระเป๋าหลังเสื้อแบบไม่โรแมนติกนัก แต่มันทำให้การปั่นมีเป้าหมายเล็กๆ เพิ่มขึ้น

จากปากคลองตลาดเราเลี้ยวเข้าถนนจักรเพชร ถนนเส้นนี้ตอนเช้ารถยังไม่เยอะ ร้านผ้าเปิดช้า แต่ร้านอาหารเช้าบางเจ้าเริ่มทอดปาท่องโก๋ควันฉุย เสียงน้ำมันซู่ซ่าเป็นสัญญาณให้กระเพาะเราทำงาน เราจอดจักรยานพิงเสาไฟ กินโจ๊กหมูใส่ไข่หนึ่งชามกับปาท่องโก๋สองชิ้น แบบที่ไม่เฮลท์ตี้เท่าไหร่ แต่เช้าที่ปั่นมาแล้วก็พอถัวเฉลี่ยได้ เจ้าของร้านทักว่า “มาจากฝั่งธนเหรอ หน้าตาเหมือนเพิ่งขึ้นสะพานมาเลย” เราหัวเราะ บอกว่าใช่ครับ แล้วคุยกันเรื่องจักรยานเก่าคันหนึ่งที่เขาเคยใช้ส่งของตอนหนุ่มๆ เรื่องเล่าในเมืองมักเริ่มด้วยจักรยาน แล้วค่อยจบด้วยรถยนต์เสมอ

เราปั่นต่อไปที่คลองโอ่งอ่าง ช่วงเช้าที่ร้านรวงยังไม่เปิดเต็มที่ คลองที่ปรับปรุงใหม่สะอาดกว่าที่จำได้เมื่อสิบปีก่อน ทางเดินกว้างพอให้คนเดินและเด็กฝึกสเก็ตบอร์ดโดยไม่ชนกัน เราชอบมานั่งพักตรงบันไดปูนที่ลดหลั่นลงไปถึงน้ำ มันให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งใกล้เมืองโดยไม่ต้องยืนค้ำหัวใคร เห็นเงาตึกเก่ากับท้องฟ้าปนกันในน้ำเป็นลายแตกๆ เราจิบกาแฟกระป๋องเย็นจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ แล้วนั่งเงียบๆ อยู่พักใหญ่แบบไม่รู้สึกผิดกับตัวเองที่ยังไม่เริ่มงานในวันอาทิตย์

ใกล้ๆ กันมีลุงคนหนึ่งกำลังจัดอุปกรณ์ตกปลาอย่างใจเย็น สะพานเล็กๆ ที่ข้ามคลองมีนักปั่นอีกสองสามคนมาหยุดถ่ายรูป เขาหันมาถามเราว่ามีเส้นทางไหนต่อจากนี้ที่ปั่นแล้วสนุก เราแนะนำให้เลี้ยวไปทางบ้านหม้อ รอดข้างเสาชิงช้าขึ้นไปทางเสาชิงช้าแล้ววนลงมาทางเส้นเสือป่า ถนนโค้งเล็กๆ ตรงนั้นมีร้านเครื่องมือเก่าๆ ที่ยังเปิดอยู่ และตอนเช้ารถไม่เยอะเท่ากลางวัน เขาพยักหน้าแล้วบอกว่า “ขอบคุณครับ ไม่ได้ปั่นในเมืองนานแล้ว” น้ำเสียงนั้นทำให้เรารู้สึกว่าการชวนกันออกมาปั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก

เราปั่นต่อไปที่เสาชิงช้า แดดเริ่มแรงขึ้นนิดๆ แต่ลมยังพอช่วยให้ไม่ร้อนจนเกินไป เสาชิงช้าตั้งเด่นเหมือนเดิม สะท้อนแดดเช้าจนแดงจัดขึ้นอีกหน่อย รอบๆ มีเสียงพระสวดจากวัดสุทัศน์แว่วๆ มา เราจอดหลบแดดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าโบสถ์เล็กๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแผนที่ดูทางกลับฝั่งธน จังหวะนั้นเองที่นึกขึ้นได้ว่าในเมืองนี้เรายังหลงได้เสมอ ไม่ใช่เพราะไม่มีสัญญาณ แต่เพราะใจอยากไปหลายที่พร้อมกัน เราปิดแผนที่แล้วบอกตัวเองว่าเลือกสักทาง

เราเลือกทางที่วิ่งผ่านบ้านหม้อ สายไฟที่พาดขวางเป็นเงาดำบนพื้นถนน ร้านเครื่องเสียงเก่าๆ ยังมีแสงไฟสีส้มส่องไส้หลอดเยาว์วัยอยู่ เรานึกถึงสมัยที่ต้องเอาแผงวงจรไปซ่อมที่นี่ เดินหลบกล่องและเก้าอี้พับของร้านละแวกนั้น เสียงหัวเราะของช่างที่ไม่รู้หัวข้อคุยกันคืออะไรแต่ฟังแล้วรู้สึกว่ามนุษย์ยังสนุกกับการอยู่รวมกัน เราปั่นช้าๆ ให้เมืองเล่าเรื่องของมันเองแทนการรีบเร่งไปให้ถึงปลายทาง

แวะสุดท้ายก่อนกลับคือท่ามหาราช เราลองเข้าไปนั่งริมแม่น้ำอีกครั้งเพื่อดูว่าตอนสายสายเจ้าพระยาหน้าตายังไงวันนี้ คลื่นจากเรือท่องเที่ยวทำให้ผิวน้ำเต้นแรงขึ้น คนเริ่มเยอะขึ้น เสียงกล้องถ่ายรูปดังถี่ขึ้น เราถูกถามให้ช่วยถ่ายรูปให้คู่รักคู่หนึ่ง เขายิ้มขอบคุณแล้วเดินไปต่อ เราคิดขึ้นมาว่าถึงเราจะบ่นว่าคนเยอะ แต่การมีคนก็ทำให้เมืองอุ่นขึ้น แค่เราต้องหาจังหวะของตัวเองให้เจอ ว่าจะเข้าไปคลุกเมื่อไหร่ และจะถอยออกมาตอนไหน

ระหว่างทางกลับ เราเลือกเส้นเลียบสนามหลวงแล้วข้ามสะพานกลับฝั่งธน ลมตอนเก้าโมงเช้ายังช่วยประคองให้ขาไม่ล้าเกินไป เสียงจักรยานของเรากลับมาดังกว่านิดหน่อยเพราะฝุ่นติดโซ่ เรารู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มเกาะแผ่นหลังและฝุ่นละอองเล็กๆ ที่ติดแขน แต่ความสุขแบบง่ายๆ ก็อยู่ตรงนั้นเอง ความสุขของการได้เห็นเมืองก่อนที่เมืองจะเต็มไปด้วยการเร่งรีบของวัน

สำหรับคนที่อยากเริ่มปั่นในเมือง เราไม่มีสูตรสำเร็จให้หรอก แต่มีข้อสังเกตเล็กๆ ที่ช่วยให้วันหนึ่งๆ อ่อนโยนขึ้นนิดเดียว หนึ่ง เริ่มเช้ากว่าที่คิดครึ่งชั่วโมง เมืองจะใจดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด สอง ใช้เกียร์เบาๆ แล้วตั้งใจหายใจ ไม่ต้องเร่งให้หัวใจเต้นแรงตลอด สาม ข้ามสะพานด้วยความระวังและไม่อายที่จะลงจูงถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย สี่ พกน้ำและเงินสดเล็กน้อย เผื่ออยากกินอะไรที่ไม่ได้รับบัตรหรือต้องโอน ห้า ยิ้มให้คนที่สบตาเราในเช้าเดียวกัน มันช่วยให้เมืองนี้ดูน่ารักขึ้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐแม้แต่นิดเดียว

เราไม่ได้บอกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เหมาะกับจักรยานที่สุด และไม่อยากโรแมนติไซส์สิ่งที่เสี่ยงอันตราย แต่เราอยากเล่าว่าในบางชั่วโมงของวัน เมืองนี้เปิดพื้นที่ให้คนธรรมดาได้สนุกกับการเคลื่อนไหวแบบช้าๆ ได้จริง ปั่นไปคุยกับตัวเองไป ได้ยินเสียงน้ำ เสียงนก เสียงแม่ค้าขายดอกไม้ และเสียงหัวเราะจากร้านซ่อมวิทยุเก่าๆ เสียงทั้งหมดประกอบกันเป็นเพลงที่เราฟังจนจบเช้าวันอาทิตย์ และพร้อมกลับไปเป็นผู้โดยสารที่ดีในระบบขนส่งสาธารณะในวันจันทร์

สำหรับเรา การปั่นเช้าแบบนี้ไม่ใช่การออกกำลังกายอย่างเดียว มันเป็นพิธีกรรมเล็กๆ ที่ช่วยจัดตำแหน่งใจให้เข้าที่ คล้ายๆ กับการชงกาแฟหรือรดน้ำต้นไม้ พอจอดจักรยานเข้าลิฟต์และกลับถึงห้อง เราเอาดอกกุหลาบขาวสามดอกจากกระเป๋าหลังมาตัดก้านใส่แจกันแก้วบนโต๊ะ ทำไข่ดาวสองฟองกับขนมปังหนึ่งแผ่น แล้วเปิดหน้าต่างให้ลมเข้ามาอีกนิด ก่อนเริ่มซักผ้าและล้างจานเหมือนทุกสัปดาห์ ความรู้สึกข้างในเรียบลงอย่างเห็นได้ชัด แบบที่ไม่ต้องพิสูจน์ให้ใครดู เราคิดในใจว่าเช้าวันอาทิตย์หน้าจะไปอีกทางหนึ่ง อาจเลียบคลองผดุงกรุงเกษมบ้าง หรือข้ามไปสะพานพุทธให้แดดเช้าตีหน้าผากแรงๆ สักครั้ง เมืองนี้ยังมีมุมที่เราไม่รู้จักอีกมาก และจักรยานคันนี้ก็พร้อมพาไปเจออย่างใจเย็น