เชียงใหม่ตอนกลางคืนกับร้านหนังสือที่เปิดถึงตีหนึ่ง
ผมไปเชียงใหม่ช่วงปลายหนาว อากาศยังเย็นแห้ง เวลาเดินผ่านถนนนิมมานเหมินท์ตอนสามทุ่มจะได้กลิ่นไม้และควันจากครัวแบบแปลก ๆ ที่กรุงเทพฯ ไม่มี คืนหนึ่งหลังจากกินข้าวแกงฮังเลเสร็จ เดินเรื่อยเปื่อยจนไปเจอร้านหนังสือเล็ก ๆ ป้ายหน้าร้านเขียนว่าเปิดถึงตีหนึ่ง เลยผลักประตูเข้าไปแบบไม่คิดอะไร
ข้างในมีชั้นหนังสือไม้สองสามแถว หนังสือส่วนใหญ่เป็นงานแปลกับงานกวีนิพนธ์ คนขายเป็นผู้หญิงวัยสามสิบปลาย ๆ ใส่เสื้อไหมพรมสีเทา แววตาเป็นมิตร ผมเดินดูไปเรื่อย ๆ แล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อ “บ้านที่กลับไปไม่ได้” ขึ้นมาเปิด เจ้าของร้านเดินมาถามว่า “ชอบอ่านแบบไหน” ผมตอบไปแบบซื่อ ๆ ว่าอ่านช้า และชอบประโยคที่ทำให้หยุดหายใจ เธอยิ้มแล้วหยิบอีกเล่มจากชั้นให้ บอกว่า “ลองเล่มนี้ ดูเหมือนเรียบ แต่กัดช้า ๆ”
เราคุยกันเรื่องหนังสือ เรื่องคนเขียน เรื่องเมืองที่ทำให้คนอ่านได้ยากขึ้น เธอบอกว่าร้านนี้เปิดดึกเพราะลูกค้าหลักคือนักดนตรีกับบาริสตาที่เลิกงานช้า บางคืนคนแน่นมาก บางคืนเงียบจนได้ยินเสียงเปิดหน้ากระดาษของกันและกัน ผมนั่งอ่านตัวอย่างตรงโต๊ะไม้เล็ก ๆ ฟังเพลง jazz เบา ๆ ที่ลอยมาจากชั้นบน รู้สึกว่าตัวเองกลับมาอ่อนโยนกับภาษาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ประมาณเที่ยงคืน ผมหยิบหนังสือสองเล่มไปจ่ายเงิน เธอห่อให้แบบเรียบ ๆ ใช้กระดาษสีน้ำตาลและเชือกปอ มัดเงียบ ๆ แล้วเขียนโน้ตเล็ก ๆ ใส่ไว้ว่า “อ่านเสร็จแล้วเอามาคุยกัน” ตัวหนังสือเธอสวยแบบไม่พยายาม ผมแอบยิ้ม เผลอๆ อาจจะกลับมาเร็วกว่าที่คิด
ออกจากร้าน อากาศเย็นกัดปลายจมูก ถนนโล่งจนได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จากไกล ๆ ผมเดินกลับที่พักด้วยกระเป๋าผ้าที่หนักขึ้นนิดเดียว แต่หัวใจเหมือนถูกจุดไฟอุ่น ๆ เอาไว้ เชียงใหม่ตอนกลางคืนไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเสียงดังเสมอไป บางทีเป็นเมืองที่ชวนให้เราเงียบลง แล้วคุยกับตัวเองได้นานกว่าปกติ
ถ้าคืนไหนนอนไม่หลับ ลองออกไปเดินหาหนังสือสักเล่มเถอะ การได้เลือกคำของคนอื่นบางทีก็ช่วยให้เราเลือกคำของตัวเองได้ดีขึ้นนิดหน่อย ซึ่งพอแล้วสำหรับคืนวันธรรมดาในชีวิตผู้ใหญ่ที่เหนื่อยง่ายแบบทุกวันนี้
วันถัดมา ผมยังกลับไปที่ร้านเดิมตอนเกือบเที่ยงคืน คราวนี้มีวงเสวนาเล็ก ๆ ไม่ถึงสิบคน นั่งล้อมโต๊ะเตี้ยคุยกันเรื่องหนังสือเดินทาง เสียงพูดคุยเบา ๆ ตีกับเสียงฝนที่เริ่มลงเม็ด เจ้าของร้านยิ้มให้เมื่อเห็นหน้าซ้ำ เธอถามว่าอ่านไปถึงไหน ผมตอบว่าได้แค่สามบท แต่เจอประโยคหนึ่งที่อยากเอากลับมาใช้เขียนจดหมายถึงเพื่อนสมัยมัธยม เราเลยคุยกันต่อเรื่องการเขียนจดหมายในยุคแชต
ผู้ชายคนหนึ่งในวงบอกว่า เขาเขียนโปสการ์ดไปหาตัวเองทุกครั้งที่เดินทาง กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะมีจดหมายจากอดีตมารออยู่ ฟังดูตลกแต่ดี ผมจดลงสมุดเล็ก ๆ ว่าอยากลองบ้าง—ส่งโปสการ์ดถึงตัวเองจากเชียงใหม่คืนนี้ เขียนเรื่องร้านหนังสือที่เปิดถึงตีหนึ่งและคนขายที่ผูกเชือกปอให้แน่นพอดีทุกครั้ง
เราเริ่มคุยถึงหนังสือมือสองที่มีชื่อของเจ้าของเดิมเขียนไว้บนปกในหน้าแรก บางเล่มมีตราประทับห้องสมุดเล็ก ๆ จากต่างจังหวัด หรือตราโรงเรียนสมัยที่ยังใช้หมึnค์ฟ้า ผู้หญิงคนหนึ่งยกเล่มที่ซื้อมาวางกลางโต๊ะ บอกว่าเธอชอบมากเวลาพบโพสต์อิทสีเหลืองที่ทิ้งร่องรอยการอ่านของคนก่อนหน้า เหมือนความคิดเดินสวนกันในเวลาต่างกัน ผมกลับคิดถึงห้องสมุดโรงเรียนที่มีกระดาษลงชื่อยืม-คืนท้ายเล่ม ฟิล์มของคืนวันเก่าที่ไม่ย้อนกลับมา แต่ยังมีเค้าอยู่ในร้านเล็ก ๆ ที่เปิดถึงตีหนึ่งแบบนี้
ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ไฟในร้านหรี่ลงนิดหน่อย เจ้าของร้านชงชาร้อนแจกคนละแก้ว บอกว่าเป็นชาดอกไม้จากสวนของแม่เธอ แก้วกระเบื้องสีน้ำเงินเข้มวางอยู่บนจานรองลายแตก ผมจิบหนึ่งคำ แล้วรู้สึกถึงความช้าอย่างที่หาไม่ได้จากคาเฟ่ฮิตตอนกลางวัน ชาคืนนี้ทำให้หนังสือในมือหนักขึ้นเล็กน้อย เหมือนข้อความทุกบรรทัดมีน้ำหนักที่อยากให้เราอ่านช้ากว่าปกติ
ผมขอลา กลับก่อนคนอื่น เพราะนัดเพื่อนวิ่งตอนเช้า พอเดินออกไปกลางถนน ฝนหยุดพอดี ถนนสะท้อนไฟนีออนจากร้านราเมงฝั่งตรงข้ามเหมือนแผ่นกระจก ผมหยิบโปสการ์ดออกมาเขียนใต้กันสาดข้างร้าน เขียนว่า “ถึงตัวเองในอีกหนึ่งสัปดาห์ ถ้าเธอเหนื่อย ลองนึกถึงร้านหนังสือที่เปิดดึกในเมืองที่ใจเย็นกว่ากรุงเทพฯ” แล้วเดินไปหย่อนตู้ไปรษณีย์สีแดงข้างถนนซอยเล็ก ๆ
ก่อนหลับคืนนั้น ผมกลับไปเปิดหนังสือหน้าเดิมอีกครั้ง อ่านย่อหน้าสั้น ๆ ที่ทำให้หัวใจสะดุด แล้วค่อยปิดไฟ ปรากฏว่าหลับเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เช้าวันถัดมารับโปสการ์ดจากตัวเองยังไม่ได้ แต่ได้รับความนิ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากคืนที่คุยเรื่องคำกับคนแปลกหน้าในร้านเล็ก ๆ ที่เปิดถึงตีหนึ่งเท่านั้นเอง
เชียงใหม่สำหรับผมเลยกลายเป็นเมืองที่ไม่ได้ต้องวิ่งตามลิสต์สถานที่ คงจะจำได้เพราะบทสนทนาสั้น ๆ เหล่านี้มากกว่า ที่ตลกคือผมกลับกรุงเทพฯ พร้อมหนังสือใหม่สองเล่ม และโน้ตที่เจ้าของร้านเขียนให้ว่า “อ่านเสร็จแล้วเอามาคุยกัน” ซึ่งก็เหมือนคำชวนให้กลับไปอีกครั้งโดยไม่ต้องพยายามหาข้ออ้างใด ๆ