ดูนกครั้งแรกที่บางปู แดดแรง แต่นกก็เยอะกว่าที่คิด
ไปถึงบางปูสาย ๆ แดดแรงตั้งแต่จอดรถ แต่ลมทะเลช่วยชีวิตไว้นิดหน่อย เดินไปที่สะพานสุขตา คนเยอะพอสมควร ครอบครัว พ่อแม่ลูก และคนถือกล้องใหญ่ ๆ มาเต็ม เรายืมกล้องส่องทางไกลของเพื่อน ลองหมุนโฟกัสช้า ๆ จนนกเข้าที่คมเป๊ะ รู้สึกเหมือนเปิดประตูอีกบานของสายตา
นกนางนวลบินวนไปมาใกล้มากจนได้ยินเสียงปีก ตรงเงียบ ๆ มีนกยืนอยู่บนราวสะพานเรียงกัน ขนสีขาวเทา ๆ สวยกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แป๊บนึงก็มีเสียงเด็กหัวเราะเพราะมีนกโฉบขนมปังจากมือไปอย่างแม่นยำ เด็กคนนั้นร้องว้าว ส่วนพ่อแม่หัวเราะตาม เสียงแบบนี้ทำให้บรรยากาศดูเป็นเทศกาลเล็ก ๆ โดยไม่ต้องมีดนตรี
ผมยืนอยู่ตรงราวไม้ที่แดดเผาจนอุ่นมือ ลองหมุนวงแหวนโฟกัสอีกครั้ง มองเห็นปากนกที่อ้าออกเล็กน้อยตอนโฉบลง ใต้คางมีเงาดำ ๆ จากดวงอาทิตย์ตรงหัว มันชัดมากจนเผลออุทานเบา ๆ ว่า โห แบบที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน เหมือนเราได้ยินภาษาใหม่ที่ช่องหูฟังเราไม่เคยเปิดมาก่อน
เพื่อนที่ยืมกล้องมาให้เริ่มสอนศัพท์นกแบบเร่งรัด นกนางนวลหัวดำ, นกนางนวลธรรมดา, ปลากัดหม้อ (ล้อเล่น), แล้วก็ชี้ว่าตัวที่โฉบสูง ๆ โน่นอาจเป็นเหยี่ยวสักชนิด เพราะรูปทรงปีกต่างจากนางนวล ถ้าดูที่ปลายปีกจะเห็นนิ้ว ๆ กางอยู่ เราเริ่มเห็นความต่างที่เมื่อกี้ยังเป็นแค่แผ่นสีขาวเทาในอากาศ โลกเดิม ๆ ขยายรายละเอียดออกมาแบบใจดี
ผมลองสลับจากการส่องไกลมาดูใกล้ ๆ แทน แค่ยืนมองปลายราวสะพาน เห็นเงาปีกของนกทาบลงบนไม้กว้าง ๆ เป็นรูปโค้งสวยงาม พอมีนกบินผ่าน เงาก็ไหลไปตามเสี้ยววินาที เหมือนใครวาดแล้วลบ ๆ ซ้ำ ๆ ตรงหน้า มันสวยจนลืมถ่าย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปสำหรับมือใหม่ แต่ก็พอแล้วสำหรับการมอง
ความสุขอีกอย่างคือการได้ยินเสียงต่าง ๆ ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ เสียงคลื่นเบา ๆ ข้างล่าง เสียงลมพัดผ่านราวสะพานเป็นเสียงฮัมต่ำ ๆ เสียงคนคุยกันเป็นแถบยาวเบื้องหลัง และเสียงปีกกระพือที่ฟังเหมือนกระดาษแข็งปะทะลม ช่วงที่ผมยืนหลับตาสัก 10 วินาทีให้เสียงทั้งหมดไหลผ่าน มันกลายเป็นเพลงที่ไม่มีท่อนฮุค แต่ทำให้ใจนิ่งได้
เราเดินไปถึงปลายสะพานแล้วหันกลับมา แดดแสบตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมหยิบหมวกแก๊ปมาสวมและทาครีมกันแดดแบบลวก ๆ ทันทีที่รู้สึกว่าหน้าเริ่มร้อนเกินไป ตรงปลายสะพานมีคนยืนถือขนมปังให้ฝูงนกโฉบกินต่อหน้า ผมมองอยู่ไกล ๆ รู้สึกสองใจ ระหว่างอยากลองเพื่อเข้าใจฟีล กับอยากให้เขาหากินเองตามธรรมชาติ สุดท้ายเลือกแค่ดู ไม่ยื่นมือเข้าร่วม ให้ความอยากอยู่ห่าง ๆ แบบคนดูคอนเสิร์ตที่ไม่ปีนขึ้นเวที
เที่ยงพอดีเราแวะร้านอาหารริมน้ำที่มีพัดลมไอน้ำพ่นเป็นระยะ ๆ ข้าวราดแกงบ้าน ๆ กลายเป็นมื้อที่อร่อยกว่าราคาเพราะลมทะเลกับวิวตรงหน้า กินเสร็จเรากลับไปที่สะพานอีกรอบ คราวนี้คนซาลงหน่อย แดดก็ยังแรงแต่เมฆเริ่มขึ้นเป็นก้อน ๆ ให้ร่มเงาบางช่วง
ช่วงบ่ายผมพยายามฝึกแยกนกจากฉากหลังที่รกตาอย่างทะเลกว้าง ๆ เพื่อนบอกให้ลองติดตามนกด้วยตาเปล่าก่อน แล้วค่อยยกกล้องตาม วิธีกึ่ง ๆ แบบนี้ช่วยให้ตาไม่งง ผมลองแล้วได้ผล ช่วงหนึ่งเราเห็นนกตัวเล็กสีเทาเข้มบินต่ำ ๆ เหนือน้ำ แล้วหักเลี้ยวขึ้นอย่างฉับพลัน แค่ได้เห็นการเปลี่ยนระดับแบบนั้นชัด ๆ ครั้งแรกก็เหมือนได้ตบท้ายฟิสิกส์บทหนึ่งที่เคยเรียน แล้วเพิ่งเข้าใจผ่านสายตาของนกจริง ๆ
ใกล้ช่วงเย็น แสงเปลี่ยนเป็นทอง จู่ ๆ ทุกอย่างก็นุ่มขึ้น พื้นน้ำกลายเป็นสีเงิน ตอนนี้เงาของนกบนผิวน้ำสวยกว่าตัวนกเองด้วยซ้ำ ผมกับเพื่อนยืนนิ่งมากขึ้น พูดน้อยลง เหมือนเราสตรีมสัญญาณภาพและเสียงเข้าใจโดยตรง ไม่ผ่านตัวอักษรแล้ว
ผมจดไว้ว่า ครั้งหน้าควรพกสิ่งเหล่านี้: หมวกปีกกว้าง, น้ำดื่มสองขวด, ผ้าเช็ดหน้า, ครีมกันแดดที่ทาซ้ำง่าย, และถ้าเป็นไปได้ กล้องส่องทางไกลของตัวเองที่สายสะพายไม่บาดคอ พอมีของครบ ความสนใจจะไปอยู่ที่นกมากกว่าความร้อนกับเหงื่อ จะเห็นรายละเอียดมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนกลับ ผมถามเพื่อนว่าทำไมถึงชอบดูนก เขาตอบว่า “เพราะมันพาให้ออกไปข้างนอก แล้วสอนให้เราใช้ตาใหม่” ประโยคนี้ติดหัวตลอดทางกลับบ้าน ผมมองต้นโกงกางที่เรียงตามแนวป่าเสม็ดข้าง ๆ ทาง เห็นนกเล็ก ๆ กระโดดจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่งแบบไม่รีบ เหมือนเราที่ไม่ต้องรีบกลับไปไหนในเย็นนี้ ให้วันธรรมดา ๆ ยืดยาวออกไปอีกนิดด้วยสายตาคู่ใหม่ที่เพิ่งถูกถูให้ใสขึ้น
สรุปทริปสั้น ๆ บางปูในวันแดดแรงให้ของขวัญเป็นสายลม กลิ่นทะเล เสียงปีก และความสุขประหลาดของการเห็นนกธรรมดา ๆ บินในแบบที่เราเพิ่งจะเห็น จริง ๆ แล้วมันอยู่ตรงนั้นมาตลอด แค่วันนี้เรามีเวลาพอและเครื่องมือพอจะดูมันจริง ๆ ถ้าวันไหนอากาศดี จะกลับไปยืนเงียบ ๆ ตรงสะพานสุขตาอีกครั้ง อาจจะไม่ต้องถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ แค่ส่อง แค่ดู แล้วเก็บเสียงปีกไว้ในหัวให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้