ทำงานบนรถไฟตู้นอน
ผมจองตั๋วรถไฟตู้นอนไปสุราษฎร์ธานีเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่เปิดโฮสเทลเล็ก ๆ ใกล้แม่น้ำตาปี เดิมตั้งใจจะลางานวันศุกร์ครึ่งวัน แต่ที่สุดแล้วงานก็ไหลมาจนติด ๆ คิดไปคิดมาจึงตัดสินใจ “ทำงานบนรถไฟ” เลย คอนเซ็ปต์ฟังดูเท่ แต่ก็แอบกังวลว่าจะอินเทอร์เน็ตพอไหม สัญญาณหลุดหรือเปล่า และจะเวียนหัวจากการพิมพ์งานบนขบวนรถหรือไม่ ผมเลือกขบวนออกจากหัวลำโพงช่วงหัวค่ำ เพื่อให้มีเวลาจัดโต๊ะ ทำงานสองชั่วโมงก่อนพับเตียงและนอน
สถานีหัวลำโพงตอนเย็นยังคงเสน่ห์แบบเดิม เสียงประกาศบอกชานชาลาดังจากลำโพงเก่า ๆ ผู้โดยสารลากกระเป๋าใบใหญ่ ๆ ผ่านพื้นหินอ่อนเงาวับ แสงเย็นตกกระทบโครงหลังคาเหล็กเป็นแถบยาว ผมซื้อน้ำเปล่า 2 ขวด กล้วยน้ำว้าสองลูก และขนมปังไส้เนยหนึ่งชิ้น เผื่อดึก ๆ หิวจะได้ไม่ต้องเดินไปตู้เสบียงบ่อย ๆ เมื่อขึ้นรถ ผมพบที่นั่งชั้นสองฝั่งริมหน้าต่าง โต๊ะพับเล็กติดพนัก พนักงานรถไฟเดินมาถามว่า “จะให้กางเตียงตอนไหนดีครับ” ผมตอบว่า “ยังไม่ตอนนี้ครับ ขอทำงานสักพัก” เขายิ้มพยักหน้าก่อนเดินต่อไป
รถออกช้าไปสิบกว่านาทีตามสไตล์ ผมเปิดฮอตสปอตจากมือถือ กลัวสัญญาณตกจึงพกซิมอีกค่ายไว้สำรอง เปิดโน้ตบุ๊กแล้วล็อกอินเข้าแชตทีม เสียงล้อเหล็กบดรางเริ่มสม่ำเสมออย่างน่าแปลก พอวางหูฟังด้านหนึ่งไว้ ฟังเสียงรถไฟครึ่งหนึ่ง เสียงประชุมอีกครึ่งหนึ่ง ความรู้สึกคล้ายทำงานในคาเฟ่ยาว ๆ แต่วิวเปลี่ยนตลอดเวลา ไฟบ้านเรือนเรียงเป็นเส้นยาวที่ค่อย ๆ ทิ้งห่างออกไปเมื่อขบวนรถเร่งขึ้น ผมเริ่มรีวิวเอกสารสเปกที่ค้างอยู่ ปรับประโยคให้ชัดขึ้น แทรกภาพประกอบสองสามจุด แล้วคอมเมนต์ถามทีมด้านความปลอดภัยข้อมูลในประเด็นที่ตัวเองไม่ชัวร์นัก
ช่วงบางพลีสัญญาณอินเทอร์เน็ตตกไปหนึ่งนาทีเต็ม ๆ ผมหยุดพิมพ์และหันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นทุ่งกว้างมืด ๆ กับแสงไฟจากบ้านหลังเดียวที่อยู่ไกล ๆ แปลกที่ความนิ่งชั่วคราวกลับทำให้สมองต่อประโยคที่ติดขัดได้ พอสัญญาณกลับมา ผมกดส่งทุกอย่างรวดเดียว แล้วปิดแชตเพื่อเขียนสรุปการประชุมพรุ่งนี้ให้เสร็จทันที ในสมุดบันทึกผมจดว่า “จังหวะเขียนบนรถไฟดี แต่อย่าเผลอเปิดแท็บเยอะเกิน”
สองทุ่มครึ่ง พนักงานเข็นรถเครื่องดื่มผ่านมาถาม “กาแฟไหมครับ” ผมขอกาแฟดำหนึ่งแก้ว เขาบอกว่า “ไม่เข้มมากนะ” แล้วยิ้ม บนรถไฟ กาแฟอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความอุ่นที่มือทำให้รู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวได้พอดี ผมสลับอ่านโค้ดกับเอกสารทีละส่วน ค่อย ๆ ปิดแท็บทีละอันเหมือนเก็บของลงกระเป๋า ก่อนกดปิดแล็ปท็อปประมาณสามทุ่มสี่สิบ พนักงานมากางเตียงล่างให้ในสิบห้านาที ผ้าปูขาวสะอาด หมอนนุ่มกว่าที่คิด ผมห้อยถุงรองเท้าไว้ที่ข้างเตียง ยัดของมีค่าไว้ในกระเป๋าคาดอกแล้วสวมไว้ตลอด เผื่อหลับเพลิน
ไฟในตู้ค่อย ๆ หรี่ลง เสียงพูดคุยเบาลงจนเหลือแต่เสียงรางกับลม ผมเลื่อนม่านเตียงลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้ยังเห็นแสงสลัวจากทางเดิน เวลานอนบนรถไฟไม่เหมือนนอนบ้าน เพราะร่างกายต้องค่อย ๆ ยอมรับว่าเตียงกำลังขยับตลอด ผมใช้วิธีหายใจยาว ๆ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วปล่อยลมหายใจช้า ๆ สองสามรอบ ร่างกายเริ่มคุ้นจังหวะ โยกตามรถโดยอัตโนมัติจนหลับไปแบบไม่รู้ตัว
ตีหนึ่ง ผมตื่นเพราะขบวนหยุดรับ–ส่งที่สถานีใหญ่แห่งหนึ่ง เสียงประกาศดัง แสงไฟจากชานชาลาสาดเข้ามาผ่านม่านนิดหน่อย ผมลืมตาดูแล้วปิดลงอีกครั้ง แอบคิดว่านี่แหละคือเสน่ห์ของรถไฟ เรายืนอยู่บนเส้นทางที่ตัดผ่านชีวิตคนอื่น ๆ มากมาย ทุกสถานีมีเรื่องราวที่เราไม่รู้จัก แต่คืนนี้เราเป็นเพียง “ผู้ผ่านทาง” ที่ขอแค่นอนต่อให้หลับสบายก็พอ
หกโมงเช้า แสงแรกลอดม่านมาบอกเวลา ผมเปิดม่านเห็นป่ายางพาราเรียงตัวเป็นแถว ท้องฟ้าสีเทาอ่อนและไอน้ำเหนือพื้นดินบาง ๆ พนักงานเอาผ้าเช็ดมืออุ่น ๆ มาให้หนึ่งผืน พร้อมถามว่า “ลงไหนครับ” ผมตอบว่า “สุราษฎร์ครับ” แล้วถามเวลาคร่าว ๆ เขาบอกอีกชั่วโมงครึ่งพอถึง ผมหยิบแล็ปท็อปมาเปิดอีกครั้งเพื่อตอบอีเมลสองฉบับและตรวจเช็คลิสต์งานของวันนี้ อย่างน้อยตอนถึงเมืองจะได้มีหัวโล่ง ๆ สำหรับเดินไปหาเพื่อน
สิบโมงกว่า ๆ รถเข้าสู่สถานีสุราษฎร์ธานี ผมไลน์หาเพื่อน เขาบอก “นั่งรถสองแถวสีส้มเข้าเมืองเลย เดี๋ยวเจอกันที่ร้านกาแฟริมน้ำ” ผมขึ้นรถสองแถว ฝุ่นลูกรังนิดหน่อยติดแขน แต่ลมเช้าทำให้สดชื่นทันที โฮสเทลของเพื่อนเป็นบ้านไม้ดัดแปลงสีฟ้าจาง เขาต้อนรับด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้งสองไม้กับน้ำชามะนาวแก้วใหญ่ เราหัวเราะกับไอเดียงานบนรถไฟแบบบ้าน ๆ ที่กลับกลายเป็นเวิร์กกว่าที่คิด
ผมขอหาโต๊ะวางแล็ปท็อปตรงมุมหน้าต่าง มองเห็นแม่น้ำตาปีไหลเอื่อย ๆ ปักสายชาร์จไว้และเปิดฮอตสปอตจากมือถือ แผนวันนี้คือทำงานต่ออีกครึ่งวัน ตอบรีวิว PR ที่ทีมคืนมาเมื่อคืน และวางแผนงานสัปดาห์หน้ากับเพื่อนร่วมทีมสองคน เสียงเรือหางยาวติดเครื่องบ้างเป็นพัก ๆ กลายเป็นแบ็กกราวนด์ซาวด์ที่ช่วยให้โฟกัสดีกว่าที่คาด ปลายเที่ยงเราเดินไปกินข้าวแกงริมถนน รสจัดแบบใต้แท้ ๆ เผ็ดขึ้นจมูกจนต้องขอน้ำอีกแก้ว แต่ความเผ็ดนั้นกลับปลุกให้บ่ายทำงานได้สนุกขึ้นแบบประหลาด
ระหว่างบ่าย ผมจดข้อสังเกตสำหรับ “ทำงานบนรถไฟ” ไว้หลายข้อ หนึ่งคือเลือกขบวนที่ถึงเช้าชั่วโมงที่เรายังมีแรง สองคือเตรียมอินเทอร์เน็ตสองซิมไว้สลับ สามคือเลือกที่นั่งชั้นล่างเพื่อความเสถียรของโต๊ะและปลั๊กไฟ และสี่คือยอมรับว่าบางช่วงไม่มีสัญญาณ ให้ใช้เวลานั้นคิดเงียบ ๆ หรือรีวิวเอกสารออฟไลน์ ไม่ต้องฝืนให้ทุกนาทีมีเอาต์พุตที่วัดได้ เพราะโครงร่างงานดี ๆ มักเกิดตอนเราเงียบและขบวนรถกำลังโยกเบา ๆ นี่เอง
ตกเย็นเพื่อนชวนไปเดินริมแม่น้ำ เรานั่งบนขั้นบันไดคอนกรีตมองฟ้าเปลี่ยนสีจากส้มเป็นม่วง เสียงเด็กเล่นสเกตบอร์ดดังไกล ๆ ผมบอกเพื่อนว่า “เมื่อคืนหลับสบายแปลก ๆ เหมือนรถไฟกล่อม” เขาหัวเราะแล้วบอกว่า “คืนไหนฝนตกจะยิ่งหลับดี” เราคุยเรื่องงาน เรื่องการย้ายกลับบ้านของเขา เรื่องลูกค้าต่างฤดูของโฮสเทล แล้วเงียบไปด้วยความพอใจที่ได้อยู่ตรงนี้แบบง่าย ๆ
คืนนั้นก่อนนอน ผมเปิดโน้ตบันทึกเพิ่มข้อหนึ่งว่า “งานเคลื่อนที่ได้ ถ้าใจเคลื่อนช้า” รถไฟสอนผมเรื่องจังหวะอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนเครื่องบินที่ทุกอย่างเร็วและตรงเวลา รถไฟมีความยืดหยุ่นเล็ก ๆ ที่ให้เราปรับตัว กลับไปยอมรับความไม่แน่นอน และใช้มันเป็นประโยชน์ แทนที่จะอารมณ์เสียเมื่อเน็ตหลุด ผมกลับได้ความคิดใหม่ ๆ แทน แฟร์ดีเหมือนกัน
เช้าวันถัดมา ผมนั่งรถสองแถวกลับสถานีเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะ พอรถไฟอีกขบวนค่อย ๆ เลื่อนผ่านชานชาลา ผมยกมือไหว้ในใจให้เส้นทางเหล็กเส้นเดิมที่พาผมทำงานผ่านกลางคืนยาว ๆ มาอย่างนิ่มนวล และแอบตั้งใจว่าจะลองทำแบบนี้อีกครั้งในฤดูฝน เผื่อได้ฟังเสียงหยดน้ำบนหลังคารถปนกับเสียงราง แล้วคงหลับง่ายขึ้นเป็นสองเท่า