thammarith

อายุ 32 เพิ่งเรียนว่ายน้ำจริงจัง สายไปไหม ไม่เลย

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ผมว่ายน้ำท่ากบแบบมั่ว ๆ มาตลอดชีวิต จนวันหนึ่งเพื่อนชวนแข่งไตรกีฬาแบบเล่น ๆ เลยไปสมัครคอร์สพื้นฐาน 8 ครั้งที่สระใกล้บ้าน คาบแรกครูให้ยืนกอดอกแล้วจมตัวลงไปเฉย ๆ ฟังดูงง แต่แกบอกว่าอยากให้รู้จัก “ความหนักของน้ำ” ก่อนทำอะไรอย่างอื่น

ครั้งต่อ ๆ มาเราเรียนการหายใจแบบหมุนหน้า ลองท่าฟรีสไตล์ทีละส่วน แขนซ้าย แขนขวา เตะขา ช้า ๆ แบบไม่ยำใส่หมด ช่วงแรกผมหายใจสั้นเกินไป น้ำเข้าจมูกจนไอ ครูบอกให้ยอมช้าลง หายใจเต็ม ๆ ก่อนแล้วค่อยวาดแขน จังหวะมันค่อย ๆ มาเอง

คาบที่ห้ามีโมเมนต์เล็ก ๆ ที่จำได้ดี อยู่ดี ๆ ผมก็ไหลไปได้สามสระติดโดยไม่หยุด หูได้ยินแค่เสียงน้ำแตกเบา ๆ ไหล่ผ่อนลงกว่าที่เคย ฝ่ามือจับน้ำอยู่จริง ไม่ใช่ตีอากาศ ถ้าจะพูดให้เว่อร์ก็เหมือนเพิ่งได้เจอวิธีคุยกับน้ำที่ไม่ต้องตะโกนใส่

พอครบคอร์ส ผมยังว่ายไม่เร็ว แต่กลัวน้ำน้อยลงเยอะ จากเมื่อก่อนที่ชอบแข็งและพยายามควบคุมทุกอย่าง กลายเป็นเรียนรู้จะยอมปล่อยให้ลอยก่อน แล้วค่อยขยับเมื่อถึงจังหวะ เรื่องง่าย ๆ แบบนี้แหละที่ผมควรเรียนตั้งแต่ป.2 แต่ก็มาช้าแบบไม่แย่อะไร

ถ้าใครลังเลจะเริ่ม ผมว่าลงสระเถอะ หาครูที่ใจดีและอธิบายง่าย ๆ แล้วเริ่มจากการหายใจเต็มปอดก่อนอย่างเดียวก็ยังดี เชื่อผม น้ำไม่ได้โหดเท่าที่เรากลัวหรอก เราต่างหากที่ดื้อไปหน่อย

หลังจบคอร์ส ผมจัดตารางซ้อมเองสัปดาห์ละสามวัน วันจันทร์กับพฤหัสเน้นเทคนิค วันเสาร์ว่ายยาวแบบไม่กดดัน ระยะเริ่มต้นคือ 800 เมตร แบ่งเป็นเซตย่อย ๆ เช่น 4x50 ฝึกหายใจด้านซ้าย 4x50 หายใจด้านขวา 4x50 แบบ 3 จังหวะ แล้วปิดด้วย 200 เมตรสบาย ๆ การแบ่งชุดทำให้สมองไม่ล้าเกินไป และได้โฟกัสอย่างเดียวในแต่ละช่วง เด๋วๆ ก็ได้ผลชัดขึ้น

อุปกรณ์ที่ผมใช้มีแค่แว่นตาว่ายน้ำที่พอดีหน้า บอร์ดโฟมหนึ่งแผ่น และฟินส์สั้นคู่ราคาย่อมเยา ฟินส์ช่วยให้รู้สึกถึงการเตะขาที่มาจากสะโพกมากกว่าเข่า ลดภาระไหล่เวลาฝึกแขนอย่างเดียว ส่วนบอร์ดโฟมช่วยฝึกการเตะโดยไม่ต้องคิดเรื่องแขน ทำให้เราแยกซ่อมชิ้นส่วนได้ทีละชิ้นอย่างใจเย็น

เรื่องที่ไม่คาดคิดคืออาการตึงหัวไหล่จากท่าฟรีสไตล์ในสัปดาห์ที่สอง ผมแก้ด้วยการยืดกล้ามเนื้อก่อนและหลังว่าย 10 นาที โดยเน้นกล้ามเนื้ออก หน้าแขน หลังส่วนบน และทำท่า scapular control เบา ๆ บนบก 5 นาที ช่วยเยอะมากกว่าการฝืนซ้อมต่อแบบเดิม ครูบอกว่าอย่าพยายามบิดตัวแรงเกินไป ให้คิดว่าลำตัวเป็นท่อนไม้ที่กลิ้งไปบนผิวน้ำอย่างนิ่ง แล้วแขนเป็นตัวพาไม้ให้กลิ้ง ไม่ใช่ลากน้ำแบบโกรธโลก

มีวันหนึ่งสระคนแน่นมากจนต้องแบ่งเลน ผมได้ว่ายเลนเดียวกับคุณลุงวัยหกสิบปลาย ๆ ลุงว่ายช้ามากแต่ไม่หยุด หายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผมแซงลุงไปสามรอบแต่พอครบชั่วโมง ลุงยังว่ายต่อ ส่วนผมขึ้นไปรินน้ำและเหม่ออยู่ขอบสระ ภาพนั้นสอนว่า ความสม่ำเสมอชนะความเร็วในเกมยาว ๆ และทำให้ผมกลับลงไปว่ายต่อแบบไม่อารมณ์เสียกับตัวเอง

ครั้งแรกที่ผมว่ายต่อเนื่องได้ 400 เมตรโดยไม่เกาะขอบ เป็นวันเสาร์อรุณสวย แสงอาทิตย์เฉียงเข้ามาพอดีจนผิวน้ำเป็นเกล็ดเงิน ผมหายใจทุกสามจังหวะ สลับซ้ายขวา มองเห็นก้นสระเป็นเส้นฟ้า ๆ เลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ เหมือนสายพาน พอขึ้นจากน้ำ รู้สึกว่าหูยังขังน้ำอยู่ แต่ใจโล่งอย่างประหลาด เหมือนเราเพิ่งเจรจาสงบศึกกับร่างกายตัวเองอีกรอบ

ผมบันทึกความคืบหน้าด้วยการจดเวลาเฉลี่ยต่อ 100 เมตร แบบหยาบ ๆ ไม่ได้จับทุกเซต เอาแค่ชุดยาวท้ายสุดของวัน เช่น จาก 2:50 ลดเหลือ 2:30 ในหนึ่งเดือน ไม่หวือหวา แต่เป็นเส้นโค้งที่ลงช้า ๆ แบบที่พอใจ นอกจากนี้ยังจดความรู้สึกสั้น ๆ หลังซ้อม เช่น “วันนี้หายใจลึกขึ้น ไหล่ไม่เกร็ง” หรือ “นอนน้อย ว่ายฝืน ไม่เวิร์ก” เพื่อใช้ตัดสินใจว่าควรพักวันไหนมากกว่าฝืน

มารยาทในสระที่ได้เรียนรู้: 1) ถ้าจะพักให้ชิดมุม ไม่บังทางคนกลับตัว 2) ถ้าจะออกตัว ให้รอให้คนที่กำลังกลับตัวผ่านไปก่อน 3) ถ้าต้องการแซง ให้แตะส้นเท้าคนหน้าเบา ๆ แล้วแซงที่ปลายสระ ไม่แซงกลางเลน 4) ถ้าเหนื่อยมาก ๆ ขอพักได้ แต่อย่าปล่อยตัวกลางเลนเพราะอันตรายและทำให้คนอื่นต้องหลบ

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อเดือนของผม: ค่าสระรายครั้ง 60–100 บาท (สี่ถึงหกครั้ง), ค่าครูแบบกลุ่มถ้าอยากทบทวนเดือนละครั้ง 300–500 บาท, อุปกรณ์ครั้งเดียวจบประมาณ 1,500–2,000 บาท ถ้านับความสุขที่ได้ต่อชั่วโมง ถือว่าคุ้มอย่างไม่ต้องอธิบายมาก

ด้านจิตใจ สิ่งที่ยากสุดคือวันฝนตกและเหนื่อยจากงานที่อยากกลับบ้านไปนอน แต่ทุกครั้งที่ฝืนลงสระ ผมมักจะดีใจหลังว่ายเสร็จเสมอ ร่างกายมันจำความเบาของการลอยน้ำไว้ได้ ดีกว่าการนั่งเลื่อนมือถือหนึ่งชั่วโมงอย่างเทียบไม่ได้เลย บางคืนกลับบ้านเปิดคอมดูคลิปสอนหายใจของโค้ชต่างประเทศ แล้วจดบันทึกคำหนึ่งคำสองคำไว้ เช่น “Relaxed Recovery” เพื่อเตือนตัวเองในน้ำครั้งหน้า

ท้ายที่สุด ผมยังไม่ใช่นักว่ายน้ำเร็ว แต่กลัวน้ำน้อยลงเยอะ และรู้จักตัวเองมากขึ้นตอนอยู่ในน้ำ ความก้าวหน้าเล็ก ๆ เหล่านี้เหมาะกับคนทำงานที่ใจร้อนอย่างผม เพราะมันย้ำว่า การคืบหน้า 1% ต่อวันก็เพียงพอแล้ว สี่สัปดาห์ต่อมาคุณจะมองกลับไปขอบสระแล้วยิ้มให้ตัวเองเบา ๆ ว่า อ๋อ เราว่ายถึงฝั่งได้นานกว่าที่คิดจริง ๆ