วันทำงานจากคาเฟ่ที่ไม่ตั้งใจ
เช้านั้นไฟดับตั้งแต่ก่อนอาบน้ำ เปิดแอปของการไฟฟ้าดูแล้วน่าจะกว่าจะมาค่ำ ๆ เลยเก็บโน้ตบุ๊ก ยัดที่ชาร์จ หยิบสมุดเส้นบรรทัด แล้วออกจากห้องแบบงง ๆ เจอคาเฟ่เล็ก ๆ ตรงหัวมุมที่เดินผ่านบ่อยแต่ไม่เคยเข้าไป ชื่อเรียบง่าย เมนูเขียนบนกระดานดำด้วยชอล์กตัวโต ๆ ขนมปังอบอยู่ในเตา กลิ่นลอยออกมาเหมือนเสียงเชื้อเชิญ
สั่งอเมริกาโน่ร้อนหนึ่ง แซนวิชไข่หนึ่ง แล้วถามพนักงานว่าเสียบปลั๊กได้ไหม พนักงานพยักหน้าแบบยิ้ม ๆ แอบวางป้ายเล็ก ๆ เขียนว่า “Working table” ไว้บนโต๊ะให้ด้วย น่ารักมาก เปิดโน้ตบุ๊ก เชื่อมไวไฟ แล้วไล่อีเมลค้าง ๆ ทีละฉบับ เหมือนเสียงบดเมล็ดกาแฟช่วยกวาดความฟุ้งซ่านออกจากหัวไปทีละน้อย
ข้างหน้าต่างมีต้นเขียวเล็ก ๆ วางเรียงกัน พอสายหน่อยแสงแดดลอดใบไม้เป็นลายบนโต๊ะไม้สีอุ่น คนข้าง ๆ เปิดสไลด์คุยเรื่องดีไซน์กับลูกค้า อีกฝั่งเป็นนักศึกษาดูไฟนอล รายงานเปิดไว้ครึ่ง ๆ คั่นด้วยโทรศัพท์ที่สั่นทุกสามนาที เราหยุดพิมพ์เป็นพัก ๆ เพื่อจดสิ่งที่ต้องทำลงสมุด เห็นลิสต์สั้นลงแล้วใจค่อย ๆ เบา
ตอนบ่ายคาเฟ่เริ่มแน่น เสียงดังขึ้นนิดหน่อย แต่ยังทำงานได้ แอบคุยกับบาริสต้านิดนึงว่าเครื่องชงรุ่นอะไร เขาบอกว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่ตั้งใจดูแลเองตลอด ไม่ปล่อยให้บูดบึ้งแม้วันยุ่ง ๆ ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนงานของเรา งานไหนถ้าดูแลต่อเนื่องจะนิ่มขึ้น ทิ้งยาว ๆ แล้วกลับมาทีเดียวมักจะติด ๆ ขัด ๆ ชอบกล
ปิดเครื่องตอนสี่โมงเย็น งานเสร็จเกินที่คิดไว้ ไฟบ้านยังไม่มา แต่กลับไม่หงุดหงิด กลับบ้านช้าแค่ไหนวันนี้ก็โอเค เพราะได้ค้นพบโต๊ะทำงานอีกโต๊ะในเมือง ที่มีทั้งกลิ่นขนมปัง เสียงเครื่องบด และหน้าต่างที่ปล่อยเวลาไหลผ่านอย่างเนิบ ๆ ดีจนอยากให้ไฟดับอีก (ล้อล้อ)