วันไม่มีประชุมที่ออฟฟิศ ทำงานได้ลื่นแบบแปลกใจ
วันนี้ตั้งใจไม่รับประชุมเลยสักนัด เปิด Slack แค่ตอนเที่ยงและบ่ายสี่ ที่เหลือเป็นโหมดทำงานลึกเต็ม ๆ ช่วงเช้า 2 ชั่วโมงแรกปั่นงานออกแบบระบบได้เยอะกว่าหนึ่งสัปดาห์ก่อนรวมกันอีก จิงๆ ก็ไม่แปลกอะไร สมองได้อยู่กับปัญหาเดียวแบบไม่โดนแทรก เราแค่ลืมไปว่าประสิทธิภาพที่สูงขึ้นไม่ใช่การทำหลายอย่างพร้อมกัน แต่คือการปกป้องช่วงเวลาที่สำคัญไม่ให้ใครมายุ่งต่างหาก
บ่ายต้น ๆ เปลี่ยนที่นั่งจากโต๊ะไปมุมเงียบ หันหน้าหนีทางเดินหลัก ลดโดนทักแบบกะทันหัน ลุกเดินยืดเส้นทุก 45 นาทีช่วยได้มากกว่าที่คิด พอถึงบ่ายสามก็เริ่มทำงานตอบเมลกับรีวิวโค้ด พอมีคนแซวว่า “วันนี้เงียบจังนะ” ผมหัวเราะแล้วชี้ป้ายบนโต๊ะที่เขียนว่า “ขอเวลาทำงานลึกถึงบ่ายสาม” สื่อสารง่าย ๆ กลายเป็นตกลงกันโดยไม่ต้องดราม่า
ผมสังเกตว่าพอไม่มีประชุม เรากลับกล้าตัดสินใจเองมากขึ้น ไม่ต้องรอ consensus ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่ทำคนเดียวเงียบๆ อย่างดื้อดึง เราแค่เลื่อนการคุยไปไว้ช่วงเหมาะๆ แล้วปล่อยให้ตอนเช้ากับเที่ยงเป็นช่วงลงมือทำจริง ๆ มากกว่า สุดท้ายคุณภาพงานดีกว่า เพราะคิดครบและมีเวลา refactor ในวันเดียว ไม่ต้องลากไปพรุ่งนี้ให้เสีย momentum
วันนี้ลองทดลองสั้นๆ กับตัวเองด้วยการตั้งกติกา 3 ข้อ: 1) ห้ามเปิดอีเมลก่อน 11 โมง 2) วางมือถือคว่ำหน้าไว้ในลิ้นชัก 3) เปิดเพลงบรรเลงเพลย์ลิสต์เดิมซ้ำทั้งวัน คำว่าเดิมนี่สำคัญ เพราะสมองไม่คอยจับเพลงใหม่ มันเลยกลายเป็นฉากหลังที่ไม่แย่งความสนใจ ผลคือช่วง 9:00–10:45 เขียนเอกสารออกแบบได้ 6 หน้า ที่ปกติจะติดๆ ขัดๆ ไปทั้งสัปดาห์
ช่วงสายมีเรื่องหลุดเข้ามาหนึ่งเรื่อง เป็นบั๊กที่โปรดักชัน แต่ไม่ได้รุนแรงมาก ผมไม่กระโดดเข้าไปแก้ทันที เลือกใส่ไว้ในช่วงบ่าย แปะโน้ตว่าควรระบุ root cause คร่าวๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยตามด้วย fix หลังเที่ยง ผลคือพอถึงช่วงบ่าย เราก็ยังมีพลังพอแก้แบบไม่รน งานเช้าไม่ถูกทำลาย และบั๊กก็ถูกแก้อย่างเป็นระบบ
อีกอย่างที่ช่วยคือการออกแบบพิธีเริ่มงานเล็ก ๆ ของตัวเอง: ชงกาแฟ ดมลึก ๆ 3 ครั้ง เปิดเพลงเพลย์ลิสต์เดิม กางโน้ตบุ๊ค เปิดแอปโน้ตหน้า “วันนี้จะทำอะไร” ทำแบบนี้ทุกวันช่วยให้สมองรู้ว่าได้เวลาเข้าสู่โหมดทำงานจริงแล้วนะ ง่ายๆ แต่มันเหมือนกดสวิตช์ให้ใจเลิกวอกแวก เราไม่ได้ไปทำสงคราม เราแค่บอกตัวเองว่าจะอยู่กับงานชิ้นนี้ก่อน
เที่ยงวันนี้ผมกินข้าวเร็วและกลับขึ้นมานั่งคนเดียวสัก 20 นาที ไม่ใช่เพราะไม่อยากเจอใคร แต่เพราะอยากให้ช่วงบ่ายมีทางวิ่งยาว ๆ แบบไม่ต้องอุ่นเครื่องนาน การปล่อยให้ท้องอิ่มเกินไปกับบทสนทนาที่ลากยาวคือกับดักเล็ก ๆ ที่ทำให้บ่ายตันโดยไม่รู้ตัว น้ำเย็นแก้วหนึ่งกับผลไม้ชิ้นเล็ก ๆ พอแล้วสำหรับการกลับเข้าสู่โหมดทำงานลึกอีกรอบ
ช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสาม ผมใช้เทคนิคจับเวลา 45–5 (ทำงาน 45 นาที พัก 5 นาที) ตั้งเวลาในนาฬิกาแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานที่ตั้งใจไว้เพียงอย่างเดียว ระหว่างนั้นปิด Slack ทั้งหมด ใช้โหมดห้ามรบกวนในเครื่อง ถ้ามีไอเดียอื่นแทรกเข้ามา ผมจะเปิดโน้ตสั้น ๆ แล้วโยนลงไปในรายการ “หลังบ่ายสาม” แล้วปิดทันที ไม่ตามคิดต่อในตอนนั้น การทำแบบนี้ซ้ำ ๆ สองรอบให้ผลชัดมาก งานที่ต้องใช้สมองลึกคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือไม่เหนื่อยเกินไป
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามชวนคุยเรื่องหูฟังตัดเสียง เราคุยกันสั้นๆ แล้วผมก็ขอตัวกลับสู่โหมดเงียบ เขาเข้าใจแบบไม่ต้องอธิบายเยอะ เพราะเราสื่อสารไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่า ขอเวลาถึงบ่ายสาม จากประสบการณ์ ผมพบว่าความชัดเจนและสุภาพในตอนเช้าช่วยประหยัดคำอธิบายตอนบ่ายไปครึ่งวัน มันไม่ต้องใช้อำนาจหรือกฎอะไรเลย แค่รักษาคำพูดตัวเองให้ตรงป้ายบนโต๊ะก็พอ
เย็นใกล้เลิกงาน ผมเปิด Slack ตอบข้อความค้างทั้งหมด รวบตอบทีละเรื่อง จบทีละเธรด ไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อไปวันถัดไป ตรงไหนต้องคุยปากเปล่าก็เดินไปหา 5 นาทีจบ ไม่ลากเข้าประชุม 30 นาทีแบบที่ชอบเผลอทำกัน เวลาที่ได้คืนมาทั้งวันกลายเป็นความพึงใจเล็ก ๆ ที่สะสมอยู่ในอก เหมือนเรากลับมาคุมวันทำงานของตัวเองได้อีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่ลองแล้วพังไม่เป็นท่า (ในอดีต) ผมจดไว้เตือนตัวเองในวันนี้ด้วย: ใช้หูฟังอินเอียร์ถูก ๆ เพราะลืมหูฟังหลัก ใส่ไป 2 ชั่วโมงปวดหูเหมือนแบกก้อนหินไว้ในหู งานไม่คืบ หน้าเฉา, บอกเพื่อนร่วมทีมตรง ๆ ว่า “อย่าคุยแถวนี้ได้ไหม” ความตั้งใจดี แต่ผลคือได้ชื่อเล่นใหม่ว่า “รปภ.โซนเงียบ” สุดท้ายต้องปรับวิธีสื่อสารใหม่เป็นขอช่วงเวลางดคุยตอนเช้าแทน, ทำ To-Do ละเอียดยิบ เขียนจนเหนื่อยใจ แล้วก็ไม่ได้ทำตามอยู่ดี สรุปเหลือ “3 อย่างสำคัญวันนี้” เท่านั้น จบ
ผมคิดว่าออฟฟิศแบบเปิดไม่ใช่ผู้ร้าย มันเป็นแค่สนามที่เปิดรับทุกอย่างเข้ามาได้ง่าย ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่งสมาธิ เราต้องเลือกจังหวะเอง ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนวิ่งมาราธอนกับวิ่งวิบาก บางวันต้องยอมโดนโคลนบ้าง แต่ถ้าเตรียมรองเท้าดี ๆ วางแผนจุดพักดี ๆ เราก็วิ่งถึงเส้นแบบไม่ช้ำจนเกินจำเป็น วันไม่มีประชุมคือการเลือกวิ่งบนพื้นเรียบสักหนึ่งวัน เพื่อให้ร่างกายและใจจำว่าความลื่นมันหน้าตาเป็นยังไง
ท้ายที่สุด ผมเขียนบันทึกนี้ก่อนปิดคอม 10 นาที ตั้ง reminder ไว้ว่า “สัปดาห์หน้าลองทำแบบนี้อีก 1 วัน” และแนบเช็คลิสต์สั้น ๆ: ป้ายบนโต๊ะ, เพลย์ลิสต์เดิม, ห้ามอีเมลก่อน 11 โมง, รอบจับเวลา 45–5, ปิด Slack ตอนเช้า เปิดอีกทีบ่ายสาม จากนั้นเดินลงไปชั้นล่าง ซื้อข้าวแกงกลับบ้านหนึ่งถุง ถือถุงแกงแกว่งเบาๆ ไปตามทาง เดินผ่านยามที่ยกมือไหว้ เราก็ยกมือไหว้ตอบแบบอารมณ์ดี วันธรรมดา ๆ ที่ดีพิเศษได้โดยไม่ต้องจัด workshop อะไรสักอย่าง แค่ยอมเงียบตอนที่ควรเงียบ แล้วใช้เสียงตอนที่ควรใช้