ท้าทายตัวเอง 30 วันพูดภาษาญี่ปุ่นทุกเช้า หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นมาหยิบ ๆ วาง ๆ หลายปี คันจิจำได้แล้วลืม วากยสัมพันธ์พอไหว แต่เวลาจะพูดจริง ๆ ยังเกร็ง มือเย็นทุกที เดือนกันยายนปีที่แล้วเลยตั้งชาเลนจ์เล็ก ๆ ให้ตัวเอง 30 วันพูดญี่ปุ่นทุกเช้า 5 นาที หน้ากระจก โต๊ะเครื่องแป้งนี่แหละเป็นสตูดิโอราคาถูกสุด
กติกาง่าย ๆ เปิดไทม์เมอร์ 5 นาที ห้ามหยุด ห้ามใช้ไทย ห้ามค้นคำ ถ้าติดก็วนประโยคเดิมแล้วพยายามอธิบายด้วยคำง่ายกว่านั้น วันแรกพูดเรื่องกาแฟที่ชอบ วันต่อมาพูดเรื่องการเดินทางไปทำงาน วันที่สามเล่าเรื่องพนักงานในเซเว่นที่ยิ้มกว้างทุกเช้า
พอถึงวันที่สิบ ผมเริ่มติดคำเชื่อมใหม่ ๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น demo, dakara, soredeha มันหลุดมาเองเวลาเงอะงะ ทำให้ไม่ต้องหยุดนิ่งนาน ๆ ความมั่นใจเลยค่อย ๆ เติมเหมือนก๊อกน้ำที่หยอดทีละหยด
วันที่ยี่สิบสามผมอัดเสียงไว้แล้วฟังย้อนหลังครั้งแรก เขินมาก เสียงขึ้นจมูกไปหน่อย แต่ก็ได้ยินว่าจังหวะดีขึ้น ฟังตัวเองจนชินทำให้ไม่กลัวเสียงตัวเองเวลาอยู่ในห้องเรียนจริงอีกต่อไป
ครบ 30 วัน ผมไม่ได้เทพขึ้นทันที แต่เวลาคุยกับครูสอนภาษา รู้สึกว่าคำมันวิ่งออกมาเองเร็วขึ้นเกือบวินาที ซึ่งสำคัญกว่าการจำไวยากรณ์ยาก ๆ ในเวลาเร่งด่วน ถ้าคุณกำลังเรียนภาษาไหนอยู่ ลองตั้งเวลาหน้ากระจกดูครับ อายตัวเองนิดเดียวแรก ๆ เดี๋ยวก็ชิน แล้วมันเวิร์กจริง ๆ
เครื่องมือประกอบชาเลนจ์มีไม่กี่อย่าง สมุดเล่มเล็ก ปากกาดำ และแอปจับเวลา ผมเขียนหัวข้อเตรียมไว้ล่วงหน้า 15 หัวข้อ เช่น “อาหารที่คิดถึงสมัยเด็ก”, “สถานที่ที่อยากไปอีกครั้ง”, “ความผิดพลาดที่สอนเรา” และอีก 15 หัวข้อที่คิดเอาเช้า ๆ วันนั้น เพื่อไม่ให้หัวชินกับ script เดิมมากเกินไป กลยุทธ์หนึ่งที่เวิร์กคือใช้คำเชื่อมคงที่ 5–7 คำ ฝึกจนติดปาก เช่น “でも”, “だから”, “たしかに”, “一方で” เพื่อพยุงการไหลของประโยค
วันที่ห้า ผมเริ่มอัดเสียงลงมือถือ เปิดฟังทีหลังแล้วจดบันทึกคำที่ติดหรือออกเสียงเพี้ยน เช่น つ กับ ち หรือการยืดเสียงยาว ผมจะเขียนคำที่ผิดลงสมุด แล้วพูดซ้ำหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง 5 ครั้งแบบช้า ๆ แล้วค่อยกลับไปพูดต่อในวันถัดไป ไม่ต้องยัดทุกอย่างในวันเดียว การซ่อมทีละจุดช่วยให้ความกล้าลดไม่ฮวบฮาบ
ช่วงครึ่งหลังของชาเลนจ์ ผมเพิ่มเทคนิคเงาเสียง (shadowing) วันเว้นวัน โดยเลือกคลิปสั้น ๆ ไม่เกินหนึ่งนาทีจากพอดแคสต์หรือข่าวเบา ๆ เปิดฟังหนึ่งรอบ จับคีย์เวิร์ด แล้วพูดตามให้ใกล้จังหวะเดิมที่สุด ไม่กังวลความหมายมากนักในรอบแรก เป้าหมายคือฝึกปากกับหูให้ไหลไปด้วยกัน พอรอบที่สองค่อยแปลคำที่ไม่รู้และลองใช้คำนั้นในบทพูดของวันถัดไป
หนึ่งในวันที่เงอะงะคือวันที่สิบสาม ผมติดอยู่กับเรื่อง “การขอโทษ” อยู่ดี ๆ คำมันตัน ผมเลยย้อนเล่าเหตุการณ์ที่เคยทำพลาดจริง ๆ แบบสั้น ๆ โดยใช้ประโยคง่าย ๆ ว่า “むかし、友達にひどいことを言ってしまって…” แล้วไล่ความรู้สึกไปเรื่อย ๆ พอพูดจบห้านาที ผมไม่ได้พูดสวยขึ้น แต่กล้าพูดเรื่องยากขึ้นนิดนึง ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มกับเหงื่อที่ซึม ๆ บนหน้าผากหน้ากระจก
ผมทำ “คะแนนความคล่อง” แบบบ้าน ๆ หลังจบแต่ละวัน ให้ดาว 1–5 ดวงตามความไหลลื่นของคำ พอครบสัปดาห์ค่อยดูภาพรวมว่าติดช่วงไหน เช่น วันอังคารที่ประชุมหนัก คะแนนจะตกเกือบทุกครั้ง สรุปว่าต้องพูดตอนเช้าก่อนเริ่มงาน ไม่ใช่หลังเลิกงาน เพราะพลังใจมันไม่เท่าเดิม
อีกเทคนิคที่ช่วยมากคือการใช้ “คำหลบ” เวลาไม่รู้ศัพท์ เช่น พูดว่า “あの、えっと、こういう感じで…” เพื่อซื้อเวลา และใช้อธิบายด้วยคำที่รู้ก่อน เช่น แทนคำว่า “ซับซ้อน” ถ้าคิดไม่ออกก็พูดว่า “ちょっと難しくて、説明しにくい” ไปก่อน อย่าหยุดเงียบเกินสามวินาที เพราะจะทำให้ใจเสีย
ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้หลังครบเดือนคือความกล้าที่จะพลาดต่อหน้าอาจารย์ ผมยอมพูดผิดแล้วขำเองได้ ไม่ยึดติดกับการได้คะแนนเต็มในทุกประโยค แถมเวลาเรียนจริง ๆ กลายเป็นสนุกขึ้น เพราะหัวไม่มัวแต่ค้นคำในพจนานุกรมตลอดเวลา ครูก็ใจดีขึ้น (หรือเราเลิกซีเรียสไปเองก้อไม่รู้)
สุดท้าย ถ้าคุณอยากเริ่มบ้าง พรุ่งนี้เช้าให้หยิบมือถือ ตั้งเวลา 5 นาที เขียนหัวข้อหนึ่งบรรทัด แล้วพูดหน้ากระจกเลย ไม่ต้องเรียบ ไม่ต้องเพอร์เฟกต์ แค่ให้คำเดินไปเรื่อย ๆ แบบไม่หยุด เดี๋ยว ๆ มันจะดีขึ้นเองอย่างน่าตกใจ ผ่าน 30 วันไป คุณจะได้อย่างน้อยสองอย่าง: เสียงของตัวเองที่คุ้นขึ้น และความกล้าที่ไม่ต้องขอยืมจากใคร