thammarith

เจอห้องสมุดประชาชนอีกครั้ง เมืองเดิม แต่อยู่ได้นานขึ้น

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

เราจำกลิ่นห้องสมุดได้ดีกว่าชื่อผู้เขียนบางคน กลิ่นกระดาษที่เก่าอย่างสุภาพ ฝุ่นนิดๆ ที่ไม่กวนใจ และแอร์ที่ไม่ได้เย็นไปจนต้องสวมแจ็กเก็ต ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ห้องสมุดเป็นทั้งที่นอนกลางวันและที่หลบฝน โต๊ะไม้ยาวๆ ที่มีปลั๊กไฟสองจุดให้แย่งกัน ส่วนเสียงคือเสียงพลิกหน้ากระดาษกับเสียงไอเบาๆ ของใครสักคนที่พยายามไม่ทำให้ใครสะดุ้ง พอเริ่มทำงาน เราค่อยๆ ห่างจากห้องสมุดโดยไม่ตั้งใจ ร้านกาแฟที่เปิดเพลงเบาๆ กับปลั๊กไฟทุกโต๊ะดูเหมือนจะตอบโจทย์กว่า จนวันหนึ่งเราเดินผ่านห้องสมุดประชาชนย่านที่เคยอยู่ตอนเด็ก แล้วเห็นป้ายรับสมาชิกใหม่ เราตัดสินใจเดินเข้าไปแบบไม่ได้วางแผนไว้ก่อน

สิ่งที่เจอคือห้องสมุดที่ไม่ใช่ภาพเก่าในหัวพอดี อาคารเตี้ยสองชั้นสีขาว ข้างในทำใหม่ให้โล่ง มีแสงจากหน้าต่างบานกว้างสาดเข้ามา โต๊ะอ่านหนังสือไม้สีอ่อนเรียงเป็นระเบียบ ไม่มีโต๊ะที่ใหญ่เกินไปจนคุยกันทั้งกลุ่มและรบกวนคนอื่น ทุกโต๊ะมีปลั๊กไฟสองรูอย่างยุติธรรม มีโซนเด็กที่มีพรมสีสดและหมอนอิงที่สะอาดแบบไม่ต้องกลัวฝุ่น นึกในใจว่าถ้าตอนเด็กได้มาใช้ที่แบบนี้คงรู้สึกว่าการอ่านไม่ใช่บทลงโทษจากครูภาษาไทย

ค่าบัตรสมาชิกปีละ 100 บาท ถูกกว่ากาแฟแก้วโปรดของเราเสียอีก เจ้าหน้าที่ถามเบาๆ ว่าจะเอาบัตรแบบดิจิทัลในแอปหรือบัตรแข็ง เราบอกขอบัตรแข็งเพราะอยากพกไว้ในกระเป๋าสตางค์เหมือนพกบัตรอะไรสำคัญๆ โง่ๆ แบบวัยรุ่นยุคก่อน เขายิ้มแล้วบอกว่า “บัตรหายมาทำใหม่ได้ ค่าธรรมเนียม 20 บาท” เราพยักหน้ารับเหมือนรับสัญญาว่าจะไม่ทำหายง่ายๆ ทั้งที่รู้ตัวดีว่าลืมของเก่งมาก

วันแรกที่ไปนั่ง เราเลือกโต๊ะที่ติดหน้าต่างข้างชั้นหนังสือการเดินทาง แสงบ่ายพุ่งเข้ามาไม่แรงเกิน บังด้วยม่านโปร่งที่ทอดเงาลายจางๆ บนโต๊ะ เราวางโน้ตบุ๊ก เปิดเอกสารงานที่ต้องอ่าน แล้วก็วางหนังสือที่ยืมมาหนึ่งเล่มไว้ข้างๆ เล่มนั้นเป็นหนังสือเก่าเกี่ยวกับเส้นทางรถไฟสายต่างประเทศที่คนเขียนเล่าพร้อมแผนที่แฮนด์เมด มันชวนฝันแบบพอดี ไม่ข่มให้เราทดลองอะไรแปลกๆ ในชีวิตจริงเกินไป

สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจคือการที่ผู้คนในห้องสมุดต่างเงียบแบบเอื้อเฟื้อ ไม่ใช่เงียบเพราะถูกบังคับ แต่เงียบเพราะเข้าใจว่าความเงียบเป็นของกลาง เราเห็นคุณลุงนั่งอ่านพจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทยเล่มหนาที่น่าจะหนักสองกิโล ลุงเปิดทีละหน้า ใช้นิ้วลูบขอบกระดาษเหมือนปลอบใจอะไรในตัวเอง แล้วระหว่างนั้นก็หยุดหลับ 10 วินาที เราเผลอยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ เด็กมัธยมสองคนที่นั่งข้างหลังทำรายงานจากหนังสือประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เสียงกระซิบของเขาเล็กจนกลายเป็นเสียงลมหายใจของห้อง

งานของเราวันนั้นคืออ่านสรุปผลวิจัยยาว 30 หน้า เอกสารประเภทนี้ในออฟฟิศมักจะเปิดได้ไม่กี่นาทีแล้วก็โดนสะท้อนด้วยการแจ้งเตือนจากแชทหรืออีเมล แต่ในห้องสมุดเราปิดแจ้งเตือนทั้งหมด หยิบหูฟังแบบปิดเสียงออกจากกระเป๋า แต่ไม่ได้เปิดเพลง เพียงใส่ไว้เพื่อป้องกันเสียงก๊อกแก๊กเล็กๆ น้อยๆ เราลืมเวลาแบบดีๆ ไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แล้วค่อยเงยหน้าไปมองสวนเล็กๆ นอกหน้าต่าง ต้นหูกวางกำลังผลัดใบ ใบแห้งตกช้าๆ สองสามใบ ทำให้เราคิดถึงคำว่า “ฤดูกาล” ในเมืองที่ดูเหมือนจะมีแค่ร้อนกับร้อนมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีจังหวะเล็กๆ ของมันอยู่

พักสายๆ เราลุกไปเดินเล่นสำรวจชั้นหนังสือแบบไม่ตั้งใจ เราชอบเดินแบบนี้มากกว่าไถหน้าจอเลือกหนังสือ เพราะมันพาไปเจออะไรที่ไม่ได้ค้นหา เราเจอนิตยสารเก่าเมื่อสิบปีก่อนที่พูดถึงร้านกาแฟดริปยุคแรกๆ ของกรุงเทพฯ เห็นชื่อร้านที่ยังอยู่บางร้าน และร้านที่หายไปอีกหลายร้าน นึกถึงคำว่า “คลื่นลูกแรกของกาแฟพิเศษ” ที่ตอนนั้นเรายังไม่ได้สนใจอะไรเลย แค่คิดว่ากาแฟแพงขึ้นและเข้มข้นขึ้น จนหลายปีต่อมาถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นวัฒนธรรมเล็กๆ ที่เติบโตขึ้นจากคนรักของขมที่อยากเล่าเรื่องแหล่งปลูกและคนปลูก เราพลิกไปเจอคอลัมน์สัมภาษณ์บาริสต้าคนหนึ่ง เขาเล่าว่าความฝันคือการเปิดร้านเล็กๆ ที่อยู่ได้ด้วยลูกค้าประจำ ไม่ต้องดัง เรานึกในใจว่าบางฝันคงยังอยู่ตรงนั้นเสมอ

เราเดินไปที่ชั้นหนังสือเด็กอีกมุม เห็นแม่คนหนึ่งอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างตั้งใจ เสียงของเธอนุ่มและไม่รีบ เด็กนั่งกอดเข่าฟังแบบไม่ดิ้นมาก ช่วงท้ายแม่ชวนเด็กเก็บหนังสือเข้าที่ แล้วพาไปล้างมือที่อ่างล้างมือเล็กๆ ที่อยู่มุมห้อง เราเห็นฉากนี้แล้วรู้สึกว่าเมืองที่ดีอาจไม่ต้องมีอะไรยิ่งใหญ่มาก แค่มีสถานที่ให้ฉากธรรมดาเช่นนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ก็พอแล้ว

เที่ยงวันนั้นเรายืมหนังสือออกสองเล่ม หนึ่งเล่มเป็นรวมบทความเรื่องสั้นไทย อีกเล่มเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับนิสัยการทำงานของคนสร้างสรรค์ เจ้าหน้าที่บอกว่า “ยืมได้สามสัปดาห์ ถ้าจะต่ออายุให้ต่อในแอปได้สองครั้ง” เราพยักหน้ารับแล้วลองเปิดแอปดู ฟังก์ชันไม่ได้หรูหราแต่ทำสิ่งจำเป็นได้ดี เราคิดในใจว่า เทคโนโลยีที่ดีในห้องสมุดคือเทคโนโลยีที่ทำให้เราอยู่ในห้องสมุดได้นานขึ้น ไม่ใช่ทำให้เราอยากออกไปข้างนอก

ช่วงบ่ายเราย้ายไปนั่งโต๊ะอีกฝั่งที่เงียบกว่า มีชายวัยกลางคนเปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์เรซูเม่อยู่ เขาดูจริงจังกับการเว้นวรรคและการจัดหน้า เราแอบเห็นว่าเขากำลังแก้คำว่า “ประสบการณ์” จากสั้นๆ ให้ยาวขึ้นด้วยรายละเอียดที่จับต้องได้ เช่น “ดูแลระบบคลังสินค้า 3 แห่ง ในช่วงปรับปรุงซอฟต์แวร์ 6 เดือน” เราคิดว่าห้องสมุดยังเป็นพื้นที่หางานของหลายคนในเมืองนี้ และดีใจที่มันยังอยู่

ก่อนกลับเราแวะถามบรรณารักษ์ว่ามีโครงการอะไรที่ชุมชนมีส่วนร่วมบ้าง เธอบอกว่ามีชมรมอ่านหนังสือเงียบๆ ทุกบ่ายอาทิตย์ คนมานั่งอ่านด้วยกันหนึ่งชั่วโมงโดยไม่คุย แล้วค่อยคุยสั้นๆ ตอนจบว่าอ่านอะไรไป เหมือนประชุมที่ไม่มีวาระนอกจากให้เวลาแก่กันและกัน เธอยิ้มตอนเล่าว่าบางครั้งมีคนพาลูกมานั่งอ่านด้วย ลูกอาจอ่านไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่จำบรรยากาศได้ เราบอกว่าจะลองมาเข้าร่วมดูสักครั้ง

เราออกจากห้องสมุดตอนบ่ายแก่ๆ แสงแดดตกกระทบผนังอาคารจนเป็นสีทองอ่อน เราเดินผ่านร้านถ่ายเอกสารเก่าๆ ข้างๆ ที่ยังมีเสียงเครื่องถ่ายดังต่อเนื่อง และผ่านร้านขายขนมไทยที่วางขนมกล้วย ขนมฟักทองไว้เรียงกันอย่างสวย เราซื้อขนมกล้วยสองห่อ แล้วเดินกลับบ้านแบบช้าๆ ความรู้สึกในหัวเหมือนมีใครลดเสียงลงไปสองขีด โลกไม่ได้เงียบลงจริงๆ แต่เสียงที่ดังเกินจำเป็นหายไปพอให้เราคิดอะไรได้ยาวขึ้นนิดหน่อย

คืนนั้นเราวางหนังสือที่ยืมไว้ตรงหัวเตียง ตั้งใจว่าจะอ่านวันละ 20 นาทีแทนการไถฟีดก่อนนอน เราเขียนโน้ตสั้นๆ ว่า “ไปห้องสมุดมาแล้วดีขึ้นตรงไหน” คำตอบคือ ดีขึ้นตรงที่ได้เห็นคนใช้เวลาของตัวเองอย่างตั้งใจ ดีขึ้นตรงที่ไม่ต้องซื้อกาแฟราคาแพงทุกครั้งที่อยากอ่านหนังสือ และดีขึ้นตรงที่เราจำได้ว่าการอยู่เงียบๆ กับประโยคยาวๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เราหลับง่ายกว่าปกติ โดยไม่ต้องเปิดเสียงฝนปลอมจากแอป

สัปดาห์ถัดมาเรากลับไปอีกครั้ง คราวนี้ลองนั่งชั้นบนที่วิวถนน เฝ้าดูรถเมล์สายเดิมวนมาเป็นรอบๆ เด็กนักเรียนเดินผ่านไปพร้อมเสียงหัวเราะ ผู้สูงอายุถือถุงผักกลับบ้าน เราคิดว่าการกลับไปห้องสมุดไม่ใช่การย้อนวัย แต่มันคือการใช้เมืองแบบที่เมืองตั้งใจให้ใช้ เราอยู่ได้โดยไม่ต้องซื้อของตลอดเวลา และได้ช้าอย่างที่อยากช้าจริงๆ

เราไม่แน่ใจว่าห้องสมุดจะอยู่ในชีวิตเราอีกนานแค่ไหน แต่อย่างน้อยตอนนี้มันทำหน้าที่เป็นที่วางใจในเมืองที่เสียงดัง มันสอนให้เราจดจ่อกับตัวอักษรบนหน้ากระดาษ และสอนว่าความเงียบแบบเอื้อเฟื้อมีอยู่จริง ถ้าเราไปตามหาในที่ที่ใช่ และยอมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะสักครู่