เปลี่ยนงานจากสตาร์ทอัพสู่องค์กรใหญ่
เช้าวันแรกของการเริ่มงานใหม่ ผมวางบัตรพนักงานบนโต๊ะทำงานแล้วเงียบไปพักหนึ่ง เสียงแอร์ในออฟฟิศใหญ่ทำงานดังหึ่ม ๆ ให้ความรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนช้าลง ต่างจากสตาร์ทอัพที่คุ้นเคย ซึ่งทุกอย่างเหมือนวิ่งสปรินต์ตลอดเวลา
สามเดือนแรกที่องค์กรใหญ่สอนผมเรื่อง “จังหวะ” เราไม่ได้กดปุ่มแล้วทุกอย่างเกิดขึ้นทันที แต่จะมีลำดับ กระบวนการ คนตรวจทาน และกำหนดการที่วางไว้ล่วงหน้า กระดาษหนึ่งแผ่นในทีมกฎหมายอาจจะใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์กว่าจะเดินทางครบทุกลายเซ็น ตอนแรกผมหงุดหงิดนิด ๆ เพราะอยากทำของให้ไว แต่พอสัปดาห์ที่สองก็เริ่มเห็นเหตุผลว่าทำไมระบบต้องช้าในบางจุดเพื่อให้ทุกอย่างปลอดภัย
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่คือการประชุมที่มีบริบทเยอะมาก เอกสารประกอบประชุมยาว 15 หน้า แต่พออ่านดี ๆ ก็ช่วยประหยัดเวลาตอนคุยได้จริง เพราะคำถามพื้นฐานถูกตอบไว้แล้ว ผมเริ่มฝึกเขียนเอกสารให้ชัดเจนขึ้น ใช้หัวข้อ บทนำ ข้อเสนอ และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิด เพื่อให้คนอ่านเข้าใจภายในไม่กี่นาทีแรก
เรื่องที่คาดไม่ถึงคือความเป็นทีมข้ามแผนก ฝั่งซัพพลายเออร์ ฝั่งความปลอดภัยข้อมูล และฝั่งการเงินล้วนมี KPI ของตัวเอง ถ้าเรารีบไปด้านเดียวโดยไม่บรีฟคนอื่นให้ครบ วงจรจะสะดุดกลางทางทันที อันนี้ต่างจากสตาร์ทอัพที่บางที “แค่เดินไปคุยโต๊ะข้าง ๆ” ก็จบแล้ว ที่นี่ต้องคุยให้ครบ เคาะให้ตรง แล้วค่อยลุยพร้อมกัน
ผมยังพยายามพกความเร็วแบบสตาร์ทอัพไว้กับตัว เช่น การทำต้นแบบก่อนประชุมใหญ่ ใช้สไลด์ 4 หน้าแทนเอกสาร 14 หน้า และส่ง recap ภายในวันเดียวกัน ท่าทีเล็ก ๆ พวกนี้ช่วยให้ทีมเห็นภาพเร็วขึ้น และลดความสับสนที่อาจเกิดขึ้นในอีเมลยาว ๆ ได้เยอะ
แน่นอนว่ามีวันที่รู้สึกว่า “ช้าไปหน่อย” หรือมีงานที่ถูกรีวิวซ้ำ ๆ จนเหนื่อย แต่พอเห็นการปล่อยฟีเจอร์จริง ๆ ที่แตะผู้ใช้หลายแสนคนโดยไม่เกิด incident ก็เข้าใจว่าความรอบคอบมีราคา และคุ้มที่จะจ่าย ผมเริ่มยอมรับว่าความเร็วที่ดีในองค์กรใหญ่ อาจไม่ใช่เร็วที่สุด แต่คือเร็วเท่าที่ระบบจะยังปลอดภัยและยั่งยืน
บทเรียนหนึ่งที่ชอบมากคือการจดบันทึกการตัดสินใจ ทุกครั้งที่มีข้อสรุป จะบันทึก “บริบท ตัวเลือกที่พิจารณา และเหตุผล” เอาไว้ พอเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เราย้อนกลับมาอ่านแล้วไม่งงว่าทำไมตอนนั้นถึงเลือกทางนี้ ไม่ต้องมาเถียงกันใหม่ให้เสียพลังงานจิตใจ (อันนี้ผมเคยพลาดเองจนต้องมาตามเก็บทีหลัง เหนื่อยเอาการ)
สุดท้าย ผมไม่ได้คิดถึงสตาร์ทอัพน้อยลงนะ ผมยังรักความเบาสบายและพลังงานแบบนั้นอยู่ แต่ก็เริ่มเห็นว่าตัวเองสนุกกับการ “ขัดเกลา” ไอเดียให้เดินในโครงสร้างใหญ่ได้ พูดง่าย ๆ คือโตขึ้นนิดหนึง และเข้าใจคำว่า trade-off มากขึ้น ว่าจะเร็ว จะชัวร์ หรือจะเสี่ยงแค่ไหน เราเลือกได้ แต่ต้องรับผลของมันให้เป็น
เดือนที่สาม ผมเริ่มตั้งนาฬิกาให้ตรงกับจังหวะใหม่แล้ว และแอบดีใจกับตัวเองเบา ๆ ว่าปรับตัวได้เร็วกว่าที่คิดไว้