เจ็ดเช้าที่ครัวบ้าน ไข่สองฟอง ขนมปังหนึ่งแผ่น และความเงียบเล็กๆ
เช้ามักเป็นช่วงเวลาที่เราอยากข้ามไปให้ถึงสาย เพราะหัวติดตะปูจากคืนก่อนหรือเพราะนาฬิกาในหัววิ่งนำไปไกลกว่าร่างกาย แต่สัปดาห์นี้เราตัดสินใจจะลากเช้าไว้ให้นานขึ้นด้วยวิธีธรรมดาที่สุด คือทำอาหารเช้ากินเองทุกวัน ไม่ใช่เพื่อเก็บแต้มสุขภาพอย่างเดียว (แม้ก็ช่วย) แต่เพื่อชะลอจังหวะและชวนตัวเองคุยสั้นๆ ก่อนวันจะเริ่มโหมโรง เราตั้งกติกาเบาๆ ว่าเมนูต้องทำได้จริงในครัวเล็กๆ อุปกรณ์หลักคือเตาไฟฟ้าหนึ่งหัว กระทะเคลือบใบกลาง มีดปอกผลไม้ เขียงไม้ ขวดเกลือ ขวดพริกไทย ตาชั่งดิจิทัล และเครื่องปิ้งขนมปังหน้าตาเก่าๆ ที่เสียงติ๊งยังทำให้ยิ้มได้ทุกครั้ง
เช้าวันที่หนึ่งเราเริ่มด้วยไข่คน (scrambled eggs) แบบนุ่มง่ายๆ สูตรที่ดูเหมือนง่ายแต่ถ้าหลุดใจร้อนก็กลายเป็นไข่กวนแห้งได้ในสิบนาที เราแตกไข่สองฟองลงชาม เติมเกลือหนึ่งหยิบมือ เล็กมากจริงๆ เพราะเกลือจะช่วยแตกโปรตีนให้เนียนขึ้น ตีด้วยตะกร้อมือจนตาข่ายหายไป ตั้งกระทะอ่อน ใส่เนยจืดหนึ่งช้อนโต๊ะจนละลายครึ่งหนึ่งแล้วเทไข่ลง ใช้พายซิลิโคนกวาดจากขอบเข้ากลางเรื่อยๆ เลื่อนกระทะขึ้นลงจากเตาเพื่อคุมความร้อน จังหวะสำคัญคือหยุดก่อนสุกเต็มที่ เพราะความร้อนค้างจะพาไปเอง เราวางไข่ลงบนขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่น โรยพริกไทยนิด แล้วนั่งกินช้าๆ หน้าต่างเปิดครึ่งหนึ่งให้ลมเข้า แสงเช้าเฉียงบนโต๊ะไม้ช่วยให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีความละมุนแบบจับต้องได้
เช้าวันที่สองจัดโยเกิร์ตกรีกกับผลไม้และกราโนลา เป็นเมนูที่แทบไม่ต้องใช้เตา แต่ช่วยให้รู้ว่าการเตรียมของล่วงหน้าสำคัญแค่ไหน เราหั่นกล้วยครึ่งลูก แอปเปิลสี่เสี้ยว บีบมะนาวนิดเพื่อไม่ให้ดำ ใส่โยเกิร์ต 150 กรัม กราโนลา 40 กรัม ราดน้ำผึ้งช้อนชาเดียวพอ ระหว่างกินเราเปิดเพลงแจ๊สเบาๆ ในลำโพงเล็กที่มุมห้อง จังหวะสวิงทำให้ช้อนในมือช้าลงโดยธรรมชาติ เราเขียนโน้ตสั้นๆ บนสมุดว่า “ข้าวเช้าที่เตรียมง่าย ทำให้ใจพร้อมรับเรื่องยาก” ประโยคนี้อยู่ทั้งวันและช่วยให้การประชุมบ่ายที่ยาวเกินกำหนดไม่กัดเราแรงนัก
วันที่สามเป็นวันไข่ดาวสองฟองกับผักโขมผัดกระเทียม ขนมปังโฮลวีตหนึ่งแผ่น น้ำมันมะกอกหนึ่งช้อนชา กระทะใบเดิม ตั้งไฟกลางอ่อน เจียวกระเทียมสองกลีบจนหอม ใส่ผักโขมกำใหญ่ลงไป ผัดเร็วๆ ให้นุ่ม ปรุงเกลือเล็กน้อย ตักขึ้น วางไข่ดาวสองฟองต่อด้วยไฟอ่อนจนไข่ขาวสุกแต่ไข่แดงยังสั่นพื้นๆ นิดๆ ยกขึ้นวางบนผักและขนมปัง เสียงแตกของไข่แดงเมื่อส้อมแตะตกลงบนผักโขมเหมือนสัญญาณเริ่มงานของวัน แค่มีเสียงเล็กๆ ที่เราคุมได้ ทำให้เสียงอื่นที่คุมไม่ได้ทั้งวันนุ่มลงอย่างน่าแปลกใจ
วันที่สี่เราทำโจ๊กแบบบ้านๆ ใช้ข้าวสวยเหลือจากเมื่อคืนหนึ่งถ้วย เติมน้ำสต๊อกไก่สองถ้วย ใส่ลงหม้อเล็ก ต้มจนข้าวแตก ปรุงเกลือ ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย ทุบขิงแก่สองแว่นใส่ลงไป ระหว่างรอเราเจียวกระเทียมครึ่งช้อนโต๊ะให้กรอบ เตรียมหอมซอยและต้นหอมซอย เสิร์ฟโจ๊กใส่ชาม โรยทุกอย่างแล้วราดน้ำมันเจียวเล็กน้อย กลิ่นขิงทำให้จมูกตื่นกว่าอเมริกาโน่แก้วแรกของหลายคน โจ๊กชามนี้ทำให้เราคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงคำว่า “อุ่น” แบบที่กาต้มน้ำทำไม่ได้ เราส่งรูปไปให้แม่ แม่ตอบกลับมาว่า “หอมถึงนี่เลย” แม้จะรู้ว่าเป็นคำพูดเล่น แต่เราก็ยิ้มทั้งปากและตา
วันที่ห้าเราลองทำแพนเค้กกล้วยสูตรสองวัตถุดิบครึ่ง: กล้วยสุก 1 ลูก ไข่ 1 ฟอง และแป้งโอ๊ตป่น 2 ช้อนโต๊ะ จิ้มกล้วยจนเละ ผสมไข่และแป้ง ตั้งกระทะเคลือบไฟอ่อน หยอดเป็นชิ้นเล็ก ๆ กลับด้านเมื่อฟองอากาศโผล่พ้นผิว โรยงาดำเพิ่มกลิ่น เวลาเสิร์ฟใส่โยเกิร์ตนิด น้ำผึ้งนิด และโรยเกลือเกล็ดเล็กเท่าจุดสองสามเม็ด เกลือช่วยดึงหวานขึ้นเหมือนเวลาเราใส่เกลือเล็กน้อยในกาแฟดริป (ถ้าพูดในที่สาธารณะอาจโดนดุ แต่ลองดูแล้วดีจริง) แพนเค้กกองเล็กๆ ให้ความรู้สึกสำเร็จตั้งแต่ก่อนเก้าโมงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้งานที่เหลือตลอดวันเหมือนเริ่มจากสนามที่ราบกว่าปกติ
วันที่หกเราทำแซนด์วิชทูน่าแบบตรงไปตรงมา ทูน่ากระป๋องในน้ำแร่ 1 กระป๋อง สะเด็ดน้ำ ผสมมายองเนส 1 ช้อนโต๊ะ มัสตาร์ดครึ่งช้อนชา เกลือพริกไทยเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวสดนิดเดียว คลุกให้เข้ากัน ใส่หอมใหญ่สับบางๆ และเซอเลอรี่สับถ้ามี (เราไม่มี ก็ข้าม) ทาขนมปังโฮลวีตสองแผ่น ประกบผักกาดหอมและแตงกวาหั่น ตัดครึ่งเฉียง ๆ แบบที่ใจชอบ พอได้ยินเสียงมีดผ่านขนมปัง ความตึงในคิ้วก็คลายลงครึ่งเส้น ไม่ใช่เพราะทูน่ามีพลังวิเศษ แต่เพราะมือเราได้ทำอะไรจริง ๆ ตั้งแต่เช้า ไม่ใช่แค่เลื่อนจอไปมา
เช้าวันที่เจ็ด เรากลับไปไข่แบบวันแรก แต่เพิ่มเห็ดแชมปิญองผัดเนยและมะเขือเทศเชอร์รี่ย่าง เราหั่นเห็ดบางๆ ผัดเนยและน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ปรุงเกลือ โรยพริกไทย ย่างมะเขือเทศเชอร์รี่บนกระทะเดียวกันจนผิวเริ่มไหม้นิดๆ แล้วถอยออก ทำไข่คนแบบเดิมแต่ใส่นมสดหนึ่งช้อนโต๊ะเพิ่มความนุ่ม จัดจานเรียบง่าย แล้วนั่งลง พร้อมกับเปิดสมุดบันทึก เขียนสั้นๆ ว่า “เจ็ดเช้า = เจ็ดวิธีบอกตัวเองว่าไม่ต้องรีบเกินไป” เราพบว่าทุกเช้าทำให้บ่ายยาวขึ้นแบบสุขุมกว่าเดิม เพราะพลังงานถูกตั้งทิศทางไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเก้าโมง
ตลอดสัปดาห์ เราสังเกตว่าอาหารเช้าทำให้การทำงานราบขึ้นไม่ใช่แค่เพราะน้ำตาลและโปรตีน แต่มันเป็นพิธีกรรมที่ทำให้สมองยอมวางโทรศัพท์ลง สิบนาทีแรกของวันที่มือจับมีดแทนที่จอ ทำให้การประชุมแรกไม่รู้สึกเหมือนวิ่งเข้าเส้นชัยตั้งแต่เริ่ม เหมือนเราได้วอร์มอัพในครัวก่อนวอร์มอัพในสมอง พอเจอปัญหางาน เรารู้ตัวว่ากล้าค่อยๆ คลี่มันมากขึ้น ไม่พรวดพราดเหมือนก่อน
อุปสรรคก็มี มีเช้าวันพุธที่เนยไหม้เพราะไฟแรงเกิน ไข่ติดกระทะ กลายเป็นเศษๆ ที่ไม่น่าดู เราเกือบจะเททิ้ง แต่ตักซอสศรีราชานิด โรยหอมสับนิด ก็กินได้ ไม่ได้อร่อย แต่ได้บทเรียนว่าทางลัดไม่มีในครัวเล็กๆ และการยอมรับความไม่สวยงามก็เป็นทักษะหนึ่ง มีวันศุกร์ที่ลืมซื้อขนมปัง และต้องใช้ข้าวสวยแทนเป็นฐานสำหรับไข่ดาว ปรากฏว่าเฉยๆ แต่ทำให้รู้ว่าเรายืดหยุ่นได้ จริงๆ แล้วครัวก็สอนเราเรื่องการยืดหยุ่นแบบประนีประนอมทุกวัน
หลังครบเจ็ดวัน เราเปิดตู้เย็นดูของที่เหลือและของที่ขาด รู้สึกว่าบ้านนิ่งขึ้นหลายองศา กลิ่นเนย เนื้อไข่ และกลิ่นขิงจากโจ๊กแทรกอยู่ในผ้าม่านบางๆ ของครัวอย่างสุภาพ เราตั้งใจว่าจะไม่ทำทุกวันตลอดไป เพราะชีวิตจริงไม่ใจดีขนาดนั้น แต่จะทำสามวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อให้วันอื่น ๆ ได้อาศัยพลังจากวันเหล่านั้นต่อ เราไม่ได้กลายเป็นสายเฮลท์หรือฟู้ดดี้ เพียงแต่หายใจได้ดีขึ้นนิดหน่อยตอนเก้าโมง แล้วทั้งวันก็ใช้นิดหน่อยนั้นค่อยๆ จ่ายไปกับคนรอบตัวและงานที่ต้องรับผิดชอบ
ท้ายบท เราอยากชวนทุกคนลองเจ็ดเช้าในครัวของตัวเองด้วยอุปกรณ์ที่มี ไม่ต้องตามสูตรเราเลย ก็อปโครงไปแล้วใส่ชีวิตของคุณลงไป แนะนำให้เริ่มจากไข่คนและโยเกิร์ตหนึ่งวัน เพราะทำให้สำเร็จง่าย แล้วค่อยขยับไปเมนูที่ใช้ไฟมากขึ้น คุณอาจจะพบว่าเช้าของคุณยาวขึ้น และใจของคุณนิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งสลิปวอทช์ราคาแพงใดๆ ในโลก