ซ่อมกล้องฟิล์มมือสอง ม้วนแรกที่ล้างออกมาจริง ๆ
ผมเจอกล้องฟิล์มตัวหนึ่งในตลาดนัดวันอาทิตย์ เป็นรุ่นเก่าเลนส์ไพรม์ 40 มม. บอดี้เงินดำ บริเวณหนังหุ้มเริ่มลอกเป็นแผ่น ๆ พ่อค้าบอกว่า “วัดแสงยังขึ้น ชัตเตอร์ทำงาน” แต่ไม่ได้รับประกันอะไร ราคาไม่สูงจนเกินไป เลยตัดสินใจซื้อกลับมาพร้อมม้วนฟิล์มสี 200 หนึ่งม้วนสำหรับลองของ ความตั้งใจวันแรกไม่ใช่การถ่ายภาพสวย ๆ แต่คือทำให้มันถ่ายได้จริงแบบไม่หลอกตัวเอง
กลับถึงบ้านหาข้อมูลเรื่องโฟมกันแสง เพราะกล้องเก่ามักจะมีโฟมสลายตัวเหนียว ๆ ติดอยู่ในร่องฝาหลัง ถ้าไม่เปลี่ยน ภาพที่ได้จะมีแสงรั่วเป็นแถบ ๆ อย่างช่วยไม่ได้ เปิดฝาหลังแล้วใช้คัตเตอร์แซะเบา ๆ เอาเศษโฟมเก่าออก ช่วยด้วยคอตตอนบัดชุบแอลกอฮอล์เช็ดซ้ำจนสะอาด แล้วตัดแผ่นโฟมใหม่ตามขนาดร่องกาวเดิม ใช้แหนบช่วยวางแท่งยาว ๆ ให้ตรง เสียงนิ้วสัมผัสโฟมใหม่แล้วรู้สึกแปลก ๆ เหมือนซ่อมรองเท้าคู่โปรดที่อยากให้พาออกไปเดินได้อีกครั้ง
ต่อไปคือเช็คชัตเตอร์ เปิดฝาหลัง ตั้งสปีดชัตเตอร์ที่ 1 วินาที กดแล้วดูการทำงานของม่าน เปิดเสร็จต้องปิดอย่างราบรื่น ลองที่ 1/30, 1/125, 1/500 ไล่ขึ้นไป เสียงต่างกันจริง ถึงจะฟังไม่เชี่ยว แต่รู้สึกได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ส่วนปัญหาคือคันโยกขึ้นฟิล์มค้างอยู่บางจังหวะ ต้องขันน็อตฝาครอบด้านบนออกเล็กน้อยแล้วหยอดน้ำมันหล่อลื่นนิดเดียว ระวังไม่ใหลเยิ้มเพราะจะไปโดนม่านชัตเตอร์ ความรู้สึกเหมือนผ่าตัดเล่น ๆ กับของที่มีประวัติมาก่อนหน้าเรา
เสร็จงานเบื้องต้น จึงโหลดฟิล์มเข้าไปครั้งแรกในรอบหลายปี มือสั่นนิด ๆ ตั้งแต่สอดปลายฟิล์มเข้าไปในสปูล แล้วหมุนให้ฟันกัดรูเจาะตรงปลาย จนแน่ใจว่าฟิล์มตึงและจับอยู่ดี ปิดฝาหลังแล้วกดชัตเตอร์สองครั้งเพื่อเลื่อนผ่านเฟรมเลขศูนย์ มองช่องนับเฟรมขึ้นเป็นเลขหนึ่งอย่างพอใจแบบเด็ก ๆ วันที่แสงกำลังดี เราพกกล้องออกไปเดินแถวสวนสาธารณะใกล้บ้านตั้งใจจะใช้หนึ่งม้วนให้หมดในบ่ายเดียว
เฟรมแรก ๆ ถ่ายอะไรง่าย ๆ ใบไม้ย้อนแสง แสงลอดผ่านรั้ว จุดสะท้อนบนพื้นน้ำ จากนั้นลองถ่ายคน วิถีระยะ 40 มม. บังคับให้ต้องเข้าใกล้หน่อย ๆ ซึ่งดี เพราะทำให้ต้องเดินเข้าไปหาสิ่งที่อยากถ่ายจริง ๆ ไม่ใช่ซูมเอาแบบขี้เกียจ เฟรมหกเป็นภาพคุณลุงปั่นจักรยานผ่านเงาต้นไม้ แสงบ่ายเฉียงเข้ามาพอดี เงาของล้อเป็นวงซ้อนวงบนพื้นปูน เฟรมแปดเป็นคู่รักวัยรุ่นนั่งเก้าอี้หิน แอบกดแบบเร็ว ๆ แล้วเดินผ่านไป ไม่อยากทำให้เขารู้ตัวมาก
พอเฟรมสิบ เริ่มเจอปัญหาเล็ก ๆ ม่านชัตเตอร์บางครั้งเหมือนปิดช้ากว่าเดิมนิดเดียว ต้องพักนิ้ว ลองเปลี่ยนสปีด และขยับคันโยกขึ้นฟิล์มแบบนุ่ม ๆ มากขึ้น อาการค่อย ๆ หายไป บอกตัวเองว่าอย่ารีบ กล้องอาจจะอยู่นิ่งมานาน มันก็ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องเหมือนเราเวลาเพิ่งตื่นจากงีบ
ท้ายม้วนขยับไปถ่ายในตรอกแคบ ๆ แสงน้อยกว่าที่คิด วัดแสงบอกให้ใช้สปีดต่ำมาก เลยพิงกำแพงช่วย แล้วกดชัตเตอร์ยาว ๆ ห้าวินาที ลมหายใจดังในหัวชัดขึ้นขณะรอ เสียงคลิกปิดม่านตอนจบทำให้โล่งอกแบบน่าเขิน ภาพนั้นจะออกมามั่วขนาดไหนก็ช่าง ขอให้ได้รู้สึกถึง “การรอ” อีกครั้งในยุคที่ทุกอย่างแทบจะทันทีทันใดก็พอใจแล้ว
วันต่อไปเอาม้วนฟิล์มไปที่ร้านล้างอัดใกล้บ้าน เจ้าของร้านบอกว่า “รอประมาณสองวันนะ” แล้วจดชื่อกับเบอร์ไว้ให้ มีความรู้สึกแบบส่งการบ้านที่ไม่รู้ว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่กลับมา เดินกลับบ้านมือเปล่าแต่หัวเต็มไปด้วยเฟรม 12, 18, 24 ที่ยังวนอยู่ไม่หยุด
สองวันถัดมาได้รับลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์สแกนจากร้าน เปิดบนคอมแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง เฟรมแรก ๆ สีเพี้ยนไปทางเขียวเล็กน้อย แต่สวยในแบบของมัน เฟรมหกที่ลุงปั่นจักรยานออกมาคมพอใช้ เงาวงล้อสวยจริง ส่วนเฟรมแปดที่คู่รักนั่งเก้าอี้หิน มีแสงแฟลร์พาดเฉียง ๆ ข้ามเฟรม เกือบจะเสีย แต่กลับเพิ่มความรู้สึกบางอย่างให้ภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีสองสามเฟรมที่มีแถบสว่างขอบภาพ คงเป็นแสงรั่วจากฝาหลังที่เราเพิ่งเปลี่ยนโฟม ยังวางไม่สนิทสนมพอ
อย่างไรก็ตาม เฟรมที่ชอบที่สุดกลับเป็นภาพง่าย ๆ ของถนนหน้าบ้านเวลาบ่ายแก่ ๆ รถจอดเรียงด้านซ้าย ด้านขวาเป็นร่มไม้ยาว ๆ แสงตกพาดบนผิวยางมะตอยเป็นเส้นน้ำผึ้งบาง ๆ ฟิล์ม 200 ให้เม็ดเกรนเล็ก ๆ พอเห็นเป็นสัมผัส ภาพนั้นไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ทำให้เราได้กลิ่นวันนั้นกลับมาทั้งหมด เสียงจักรยานของเด็กจากซอยข้าง ๆ เสียงนกกระจอก เสียงคนขายไอติมตะโกนเบา ๆ ว่า “ไอติมหลอด” ทุกอย่างกลับมาอย่างพร้อมเพรียงแค่เพราะเรารอภาพสองวันแทนที่จะเห็นทันที
หลังจากนั่งดูครบทุกเฟรม เรากลับไปเช็คกล้องอีกครั้ง ขันน็อตฝาหลังให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ปรับโฟมมุมหนึ่งที่ดูเหมือนจะนูนเกิน แล้วจดบันทึกไว้ว่า “ม้วนหน้าลอง 400 ในแสงเย็น” ความสนุกของกล้องฟิล์มไม่ได้อยู่ที่ความคมชัดที่สุดหรือสีตรงที่สุด แต่อยู่ที่การได้อยู่ในความเร็วแบบอื่น ๆ ที่โลกสมัยนี้ไม่ค่อยยอมให้เราเลือก การได้พลาดเล็ก ๆ แล้วหัวเราะกับมันในภายหลัง ทำให้เย็นวันธรรมดากลายเป็นวันพิเศษแบบเงียบ ๆ ได้งายมาก