อาสาปลูกป่าชายเลน วันเดียวที่เปื้อนโคลนแล้วใจสะอาดขึ้น
เราไม่ใช่นักอนุรักษ์ ไม่ได้อยู่ในองค์กรสิ่งแวดล้อม ไม่ได้อ่านงานวิชาการเรื่องป่าชายเลนมาก่อน แต่ช่วงต้นปีมีเพื่อนชวนไปกิจกรรมอาสาปลูกป่าชายเลนกับชุมชนเล็กๆ ริมทะเล เราลังเลว่าจะเป็นทริปถ่ายภาพลงไอจีแบบเขินๆ หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ตกลงเพราะอยากไปเห็นของจริงว่าเวลาคนพูดว่าทะเลเปลี่ยน มันเปลี่ยนอย่างไรในสายตาคนอยู่กับทะเลจริงๆ เรานัดเจอกันที่ท่าเรือตอนเช้า มีทั้งนักเรียนมหาวิทยาลัย คนทำงานออฟฟิศ และลุงป้าคู่หนึ่งที่บอกว่า “อยากพาหลานมาเลอะโคลนบ้าง” ประโยคหลังนี่ชนะใจตั้งแต่ยังไม่ลงเรือ
เรือหางยาวพาเราออกจากคลองเล็กๆ ไปสู่ปากอ่าว น้ำขึ้นครึ่งหนึ่ง ลมแรงพอให้รู้สึกถึงกลิ่นเค็มอย่างชัด ตลอดทางมีแนวปะการังเทียมไม้ไผ่ที่ชาวบ้านปักไว้เพื่อลดแรงคลื่น เห็นปูแสมไต่ขึ้นลงตามต้นโกงกางอย่างคล่องแคล่ว กัปตันที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า หลายปีก่อนตรงนี้น้ำซัดแรงจนดินหายไปเป็นหลายเมตร บ้านที่เคยปลูกใกล้ทะเลต้องถอยร่นเข้าไปอีก เขาชี้ให้ดูแนวเสาปูนเก่าที่ปักไว้เป็นหลักฐาน เราพยักหน้ารับแบบไม่มีคำถามเหมาะๆ เพราะคำถามที่ดีควรเกิดหลังจากเราลงไปย่ำดินจริงๆ
ถึงจุดปลูก เราต้องถอดรองเท้า เดินลงไปในเลนที่เหนียวและเย็นอย่างประหลาด ความรู้สึกตอนเท้าจมลงไปครั้งแรกคือความกลัวนิดๆ ว่าจะดึงไม่ขึ้น แต่พอขยับตัวถูกจังหวะมันก็ยอม เราได้รับกล้าโกงกางคนละหลายต้น พร้อมไม้ไผ่ชิ้นบางๆ สำหรับค้ำ เรียนวิธีปลูกแบบง่ายๆ จากลุงเจ้าของที่ ว่าต้องกดลงไปลึกแค่ไหน ระยะห่างเท่าไหร่ และทำไมการค้ำถึงสำคัญ ลุงเล่าว่าถ้าไม่ค้ำ กล้ายังอ่อนจะโดนคลื่นพัดจนเอนไปเรื่อยๆ แล้วตาย ทันทีที่ได้ยิน เราคิดถึงเพื่อนที่เพิ่งเปลี่ยนงาน และประโยคที่เขาบอกว่า “ตอนนี้อยากได้อะไรค้ำๆ ชีวิต” ทำไมคำว่า “ค้ำ” ถึงเหมาะทั้งกับต้นไม้และคนก็ไม่รู้
การปลูกกล้าหนึ่งต้นใช้เวลาไม่กี่นาที แต่การปลูกหลายร้อยต้นใช้เวลาครึ่งวัน เสียงหัวเราะและเสียงลื่นล้มในเลนดังเป็นระยะ เพื่อนเราโดนปลิงตัวเล็กเกาะที่ข้อเท้า เขากรีดร้องแบบขำๆ มากกว่าน่ากลัว ลุงเจ้าของที่เดินมาช่วยดึงออกแบบนุ่มนวลแล้วบอกว่า “อยู่นี่เขาก็อยู่ของเขาแหละ ไม่ต้องไปกลัวมาก” ประโยคนี้เหมือนบทกวีของวันนั้น เราหยุดฟังเสียงลม เสียงนก และเสียงไกลๆ ของเครื่องเรือจากอีกฝั่งอ่าว
พักเที่ยงชาวบ้านทำกับข้าวเลี้ยงเรา บนโต๊ะไม้ยาวๆ ที่ตั้งบนเพิงยกพื้นมีแกงส้มชะอมกุ้ง ปลาทูทอด และน้ำพริกกะปิกับผักลวก จานง่ายๆ แบบนี้อร่อยที่สุดหลังจากเหนื่อยกล้ามเนื้อขาไปครึ่งเช้า เราคุยกับป้าๆ ในครัวเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง ประจำเดือนของทะเลที่เขาใช้ตารางดูจนชิน ป้าคนหนึ่งบอกว่า “ทุกวันนี้ดูมือถือมากขึ้น เพราะตารางน้ำอยู่ในนั้น แต่ทะเลจริงๆ ก็มีนิสัยของมันเอง บางวันมาช้า บางวันมาก่อน” เรานึกถึงตารางชีวิตตัวเองที่ชอบตั้งเป้าหมายแน่นๆ แล้วก็เลื่อนบ่อยๆ อยากหัวเราะแต่มีข้าวเต็มคำอยู่
บ่ายเรานั่งคุยกับกัปตันเรือยาว เขาเล่าว่ามีกลุ่มอาสามาเรื่อยๆ บางกลุ่มปลูกเสร็จแล้วหายไป บางกลุ่มกลับมาดูต้นที่ปลูกแล้วถ่ายรูปส่งให้ดู เขายิ้มตอนเล่าช่วงหลังมากกว่า เราถามว่าปลูกไปกี่ปีถึงจะเห็นชัด เขาบอกว่า “ปีสองปีแรกเห็นนิดหน่อย แต่ปีที่สามสี่จะเริ่มชัด พอโตดีจะเห็นปู ปลา กลับมามากขึ้น แล้วดินก็จับตัวดี” เสียงเขานุ่มนวลแบบคนที่อยู่กับจังหวะธรรมชาติจนรู้ว่าอะไรเร็วอะไรช้า เราพยักหน้าแล้วมองไปที่เส้นขอบฟ้าสีเทาอมฟ้า คิดถึงความอดทนที่เราไม่มีในหลายเรื่องของชีวิต
ก่อนกลับเราแวะดูแนวไม้ไผ่ที่ปักไว้เป็นแนวกันคลื่น ลุงบอกว่าไม้ไผ่จะผุภายในไม่กี่ปี แต่หน้าที่ของมันคือซื้อเวลาให้ต้นโกงกางตั้งตัว เราคิดถึงคำว่า “ซื้อเวลา” ที่เราใช้บ่อยตอนแก้ปัญหาในงาน มันกลายเป็นคำที่จับต้องได้มากขึ้นเมื่อเห็นไม้ไผ่จริงๆ ยืนเรียงกันอย่างซื่อสัตย์ เราอดนึกเล่นๆ ไม่ได้ว่าถ้าในเมืองเรามีแนวไม้ไผ่สำหรับคนทำงานใหม่ๆ ได้ตั้งตัวบ้างก็คงดี อาจจะเป็นเมนเทอร์ ระบบงานที่ใจเย็น หรือโครงการเล็กๆ ที่ให้โอกาสผิดแล้วแก้
พอขึ้นเรือกลับ เราเหนื่อยแบบอิ่ม ใจเต็มไปด้วยภาพมือเล็กๆ ของเด็กที่ช่วยพ่อแม่ปลูกกล้า ลมหายใจแรงๆ ของตัวเองตอนดึงเท้าจากเลน และเสียงหัวเราะของคณะอาสาที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ช่วยกันเก็บถุงมือที่หล่น พอกลับถึงท่าเรือ เราล้างตัวแบบลวกๆ ที่ก๊อกน้ำ เดินเท้าเปียกๆ ไปกินน้ำแดงโซดาที่ร้านชำข้างท่า รสหวานซ่าเหมือนตอนเด็ก เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะที่สุดหลังแดดบ่ายและโคลน
กลับถึงบ้าน เราเปิดดูรูปที่ถ่ายไว้ไม่กี่รูปเพราะมัวแต่ปลูก ส่วนใหญ่เป็นรูปมือเลอะโคลนกับท้องฟ้า เราไม่ค่อยอยากโพสต์ลงไหน แค่อยากส่งให้เพื่อนที่ไปด้วยกันเพื่อจำว่ามีวันหนึ่งที่เราได้ลงไปอยู่กับดินที่เละเทะ และเห็นว่าความสะอาดแบบจริงๆ บางทีเกิดจากการยอมเปื้อนก่อน คืนนั้นหลับเร็วแบบไม่ต้องเปิดพอดแคสต์กล่อม
กิจกรรมแบบนี้ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้นทันทีหรอก แต่ทำให้เราเห็นว่าคนธรรมดาหลายคนกำลังพยายามอยู่ในแบบของเขาเอง เห็นว่าคำว่าอนุรักษ์ไม่ได้ใหญ่โตเสมอไป มันอาจเป็นการยอมลงเลน ปลูกกล้าสองสามต้น คุยกับชาวบ้าน ฟังให้มาก และกลับไปบอกต่อให้เพื่อนมาลองในครั้งหน้า เราเซฟเบอร์ติดต่อชุมชนไว้ในเครื่อง พร้อมโน้ตว่า “กลับมาดูอีกทีในปีหน้า” เพราะอยากเห็นว่าต้นที่เราปลูกยังอยู่ไหม และถ้าอยู่ เราจะยิ้มให้มันแบบที่มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่เรารู้สึกดีจริงๆ