ฝึกอักษรไทยประดิษฐ์
ผมหยิบปากกาคัลลิกราฟีหัวตัดขนาด 3.0 มม. แผ่นกระดาษลายเส้น และหมึกขวดเล็กขึ้นมาวางบนโต๊ะกินข้าวที่ถูกแปลงร่างเป็นโต๊ะทำงานชั่วคราว คืนนี้ตั้งใจจะฝึก “อักษรไทยประดิษฐ์” อย่างจริงจังเป็นสัปดาห์แรก หลังจากดูคลิปกับอ่านบทความมาเยอะจนรู้สึกว่าถ้าไม่เริ่มลงมือสักทีคงไม่ไปไหน ปัญหาคือผมถนัดพิมพ์มากกว่าเขียนมือมานานจนลายมือตัวเองดูแปลก ๆ แต่ในใจลึก ๆ ยังชอบความรู้สึกของเส้นหมึกที่ไหลไปบนกระดาษและจังหวะหยุด–ยกที่ต้องฟังร่างกายตัวเอง
ครูออนไลน์หลายคนแนะนำให้เริ่มจากเส้นพื้นฐานก่อน ผมลากเส้นตั้ง เส้นนอน เส้นเฉียง และเส้นโค้งช้า ๆ เน้นน้ำหนักมือที่สม่ำเสมอและมุมปากกาประมาณ 45 องศา ลองเส้นหนา–บางสลับกันในแถวเดียวเพื่อให้มือจำว่าตอนไหนควรกด ตอนไหนควรผ่อน ผมจับเวลา 20 นาทีต่อหนึ่งรอบแล้วพัก มือขวาเมื่อยจนรู้สึกที่ข้อมือชัดเจน สลับมาบริหารนิ้วด้วยยางยืดเล็ก ๆ ที่เตรียมไว้เพื่อไม่ให้บาดเจ็บ พอกลับมาเริ่มรอบสองเส้นเริ่มนิ่งขึ้น ไม่สั่นแบบตอนแรก ๆ ช่วยเพิ่มความมั่นใจนิดหน่อย
วันที่สอง ผมเริ่มฝึกตัวอักษรง่าย ๆ อย่าง ก ข ค ง จนถึง ซ พยายามรักษาสัดส่วนความสูงของตัวอักษรให้พอดี เส้นยาวของ “ก” ต้องไม่ทะลุเส้นบนเกินไป เส้นหางของ “ง” ต้องโค้งกลับอย่างมีจังหวะ ไม่รีบปาด ผมปรินต์กระดาษมีเส้นไกด์สามระดับเหมือนสมุดนักเรียน เพื่อให้วางตัวอักษรไม่ลอยเกินไป ช่วงแรกผิดพลาดเยอะมาก แค่ใส่น้ำหนักเกินนิดเดียวเส้นก็แตกเป็นฟันปลา บางครั้งหมึกซึมจนเลอะ มันทำให้เห็นว่าความสวยงามอยู่บนรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ต้อง “ช้าพอ” จึงจะควบคุมได้
ผมสลับใช้หัวปากกา 2.0 มม. ในบางตัว เพื่อให้ได้ความละเอียดในเส้นบางและบังคับมือให้เบาขึ้น ตัว “ม” และ “น” ของไทยมีส่วนม้วนเล็ก ๆ ที่ถ้ารีบจะขาดความนุ่มนวลทันที ผมฝึกซ้ำไปซ้ำมา คอยหายใจยาว ๆ เพื่อไม่ให้เกร็ง ตอนค่ำลองเขียนคำสั้น ๆ อย่าง “สวัสดี” และ “ขอบคุณ” ต่อเนื่องกันสิบครั้ง ผลคือห้าครั้งแรกแย่พอควร แต่ห้าครั้งหลังเริ่มเห็นรูปทรงที่เข้าที่มากขึ้น แม้ยังไม่สวยสม่ำเสมอ แต่เริ่มเห็น “มือ” ของตัวเองมากขึ้น
พอเข้าสัปดาห์ที่สอง ผมลองทำงานจริงชิ้นเล็ก ๆ เขียนโปสการ์ดให้เพื่อน ใจอยากทำให้เสร็จในคืนเดียว แต่ก็เตือนตัวเองว่ารีบจะพัง เลยร่างแบบก่อนด้วยดินสอเบา ๆ กำหนดขนาดตัวอักษรและตำแหน่งวรรคเว้น จากนั้นค่อยลงหมึกจริง ผมเลือกคำว่า “ขอให้ใจเบาและเดินช้า” มันเป็นประโยคที่ผมอยากบอกตัวเองพอ ๆ กับอยากบอกเพื่อน พอลงหมึกเสร็จก็ปล่อยให้แห้งสนิท ก่อนใช้ยางลบกวาดเส้นดินสอออกอย่างระมัดระวัง บางจุดมีหมึกเกินนิดหน่อย ผมใช้ปากกาเจลสีขาวแตะเก็บรายละเอียด แก้ให้เรียบตา เป็นทริกเล็ก ๆ ที่ช่วยให้ผลงานดูดีขึ้น
อุปกรณ์มีผลมากกว่าที่คิด ปากกาเซ็ตแรกที่ซื้อหัวขูดกับกระดาษหยาบไปหน่อย ทำให้ปลายเส้นแตกง่าย พอเปลี่ยนเป็นกระดาษเนียนขึ้นระดับ 100 แกรมและหมึกที่ไหลลื่นกว่าเดิม ปัญหาก็ลดลงทันที นี่เป็นบทเรียนว่าบางครั้งเราไม่ได้แย่อย่างที่คิด แค่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะ พอเปลี่ยนก็ไปต่อได้ ลองใช้แปรงพู่กันปลายเรียวยาวกับหมึกจีนอีกหนึ่งคืน พบว่ามันให้อารมณ์คนละแบบกับหัวตัด แต่ก็คุมยากกว่าเยอะ เส้นบางหนาหายใจตามนิสัยมือจริง ๆ เผลอทีเดียวเส้นส่ายเป็นงูทันที ต้องบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร งานเขียนมือแบบนี้ความไม่สมบูรณ์คือเสน่ห์ด้วยซ้ำ
กลางคอร์ส ผมเริ่มศึกษาองค์ประกอบหน้ากระดาษ การจัดลำดับหัวข้อ ตัวรอง และตัวประกอบ ลองเขียนหัวข้อใหญ่ด้วยหัว 3.0 มม. แล้วใช้ 1.0 มม. เขียนรายละเอียดด้านล่าง สลับน้ำหนักตัวอักษรให้ตาไหลตามที่ตั้งใจ ผมสังเกตว่าถ้าเว้นระยะห่างบรรทัดมากไป งานจะดูหลวม ขาดแรงดึง แต่ถ้าแน่นไปจะอึดอัดจนอ่านเหนื่อย การหาสัดส่วนที่พอดีเป็นงานของสายตาพอ ๆ กับมือ ต้องถอยออกมามองไกล ๆ เป็นระยะ เหมือนแก้เลย์เอาต์เว็บไซต์แต่ย้ายไปอยู่บนกระดาษแทน
มีคืนหนึ่งผมลองเขียนชื่อเล่นของตัวเองด้วยอักษรประดิษฐ์แล้วเอาไปแปะหน้าห้อง รู้สึกว่าบ้านน่าอยู่ขึ้นแบบนิดเดียวแต่ชัดเจน ข้าง ๆ กันผมแปะกระดาษบันทึกสั้น ๆ ที่เขียนว่า “อย่ากดแรงเกิน” และ “ปล่อยตอนเส้นขึ้น” สองประโยคนี้ช่วยชีวิตผมเวลาเจออาการมือแข็งมาก ๆ เพราะมักจะพังคือช่วงจะยกปากกาแต่ลังเลจนลงหมึกเกิน
ท้ายเดือน เพื่อนคนหนึ่งมาขอให้ช่วยเขียนป้ายเล็ก ๆ สำหรับโต๊ะขนมในงานแต่งงาน เขาบอกว่า “ไม่ต้องเนี้ยบมาก เอาอบอุ่น” ผมลุ้นนิดหน่อยแต่ก็ตอบตกลง เลือกกระดาษการ์ดสีน้ำตาลอ่อน คำที่ต้องเขียนมี “ชูครีม โดนัท เค้กกล้วยหอม และน้ำมะนาว” ผมซ้อมบนกระดาษธรรมดาก่อน เลือกสัดส่วนของคำยาว–สั้นให้สมดุล วันจริงมือสั่นน้อยกว่าที่คิด พอวางป้ายลงบนโต๊ะพร้อมขนม ปรากฏว่ามันช่วยให้มุมขนมดูมีชีวิตอย่างแปลกตา เจ้าบ่าวเจ้าสาวยิ้มกว้าง ผมก็เบาใจมาก
ถ้าถามว่าได้อะไรจากการฝึกอักษรไทยประดิษฐ์ คำตอบของผมคือ “ความอดทนแบบที่จับต้องได้” เพราะทุกเส้นบอกเราทันทีว่าช้าไป เร็วไป หรือหนักมือไปแค่ไหน ต่างจากงานดิจิทัลที่ย้อนแก้ได้ง่าย งานเขียนมือบังคับให้เรารับผลจากการตัดสินใจในเสี้ยววินาที แล้วค่อย ๆ ปรับให้ดีขึ้นทีละเส้น แถมยังสอนเรื่องจังหวะที่พอดีพอควร เหมือนการเดินของตัวอักษรที่ต้องไม่เร่งเกินไป ไม่หลวมเกินไป
ค่ำวันสุดท้ายของเดือน ผมนั่งเขียนคำว่า “ใจเย็น” ลงบนกระดาษ A5 ด้วยหัว 3.0 มม. แล้วตั้งไว้มุมโต๊ะทำงานให้เห็นชัด ๆ เวลางานเริ่มร้อน ผมจะเหลือบตามองมันหนึ่งครั้งแล้วกลับมาหายใจยาว ๆ ก่อนพิมพ์อีเมลต่อ บางทีความสวยงามที่เราตามหามาตลอดอาจอยู่แค่เส้นสองสามเส้นที่ดึงให้เราช้าลง และกลับมาฟังมือของตัวเองอีกครั้ง