เวิร์คเคชันระยอง 5 วัน ทำงานกลางสายน้ำเค็ม
ผมลองย้ายที่ทำงานชั่วคราวไประยองห้าวัน จองโฮสเทลติดหาด ห้องเล็กแต่ไฟดี โต๊ะทำงานชิดหน้าต่าง เห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสีตามแดดแบบทันทีทันใด แผนคือทำงานช่วงเช้า เดินเล่นตอนบ่าย และประชุมออนไลน์ช่วงเย็นตามเวลาทีม
วันแรกยังตื่นเต้นไปหน่อย เปิดหน้าจอทิ้งไว้แล้วชอบมองคลื่นมากกว่ามองสไลด์ แต่พอเข้าวันที่สอง ผมเริ่มปิดม่านครึ่งหนึ่ง ใช้เสียงคลื่นเป็น white noise แทนเสียงรถในกรุงเทพฯ แปลกดีที่สมาธิยาวขึ้นกว่าที่คิด เดดไลน์วันพุธเสร็จตั้งแต่บ่ายวันอังคารเพราะไม่โดนลากคุยระหว่างวัน
ช่วงพักกลางวันเดินไปกินข้าวร้านตามสั่งหน้าปากซอย ข้าวผัดปูแบบใส่ปูจริง ๆ ราคาไม่แรง เจ้าของร้านถามมาจากไหน พอบอกว่ามาทำงาน เขาหัวเราะบอกว่า “ถ้าหลับตอนบ่ายอย่าบอกว่าเพราะข้าวผัดปูนะ” ผมรับคำแล้วสั่งชาเย็นแก้วเล็กอีกหนึ่ง
ตอนเย็นวิ่งบนหาดสั้น ๆ 4–5 กม. เท้าเหยียบทรายชื้น ๆ กล้ามเนื้อได้ทำงานแบบที่ลู่วิ่งในสวนให้ไม่ได้ คืนวันพฤหัสนั่งดูพระอาทิตย์ตกจนสีม่วงขอบฟ้าค่อย ๆ มืดลง ลมเค็มติดผมจนเหนียว แต่ใจเงียบสนิทดี
ข้อเสียเดียวของทริปคือเน็ตหลุดตอนพายุเข้า จนประชุมสะดุดสองครั้ง แก้ด้วยการแชร์ฮอตสปอตมือถือและย้ายไปคาเฟ่ที่อยู่ถัดไปสองบล็อก แอร์แรงเกินไปหน่อยแต่ไฟดีและโต๊ะกว้าง ผ่านไปได้
พอกลับกรุงเทพฯ ผมรู้สึกว่าเวิร์คเคชันไม่ใช่ทางลัดของ productivity แต่มันรีเซ็ตเสียงรบกวนในหัวได้ดี ไม่ใช่ทุกงานจะเหมาะ แต่อย่างน้อยงานที่ต้องคิดยาว ๆ ได้ของกลับมามากกว่านั่งในออฟฟิศหลายเท่า ลองเลือกสัปดาห์ที่ไม่มีประชุมใหญ่ แล้วลองย้ายทะเลสักครั้ง เผื่อคุณจะชอบความเงียบแบบเค็ม ๆ นี้เหมือนกัน
รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้ทริปนี้ไหลลื่นคือการจัดเวลา ผมแบ่งวันเป็นสามบล็อก: 08:30–12:00 ทำงานลึกโดยปิดแจ้งเตือนทั้งหมด 13:30–16:00 ประชุมและสื่อสาร 17:00–18:30 เดิน/วิ่งริมทะเลและจดบันทึกสั้น ๆ ลงสมุด กระจายพลังงานแบบนี้ช่วยให้ไม่รู้สึกผิดเวลาวางคอมแล้วเดินออกไปดูคลื่น เพราะรู้ว่าจะกลับมาจัดการงานที่เหลือตอนไหน
อุปกรณ์ที่พกไปมีแค่โน้ตบุ๊ค แท่นวางเพื่อให้สายตาเสมอขอบหน้าต่าง คีย์บอร์ดแยก เมาส์ และหูฟังตัดเสียง ที่สำคัญคือลอง hotspot จากสองเครือข่าย ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน เพื่อสำรองเวลาพายุมาจริง ๆ วันพายุหนักผมย้ายไปคาเฟ่ที่เจ้าของใจดีให้เสียบปลั๊กได้ พนักงานถามว่ามาทำงานเหรอ พอพยักหน้า เขาก็แนะนำมุมที่เงียบสุดให้ทันที ระยองใจดีกว่าที่คิด
เรื่องอาหาร ผมตั้งใจไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามาเที่ยว จึงกินง่าย ๆ ร้านตามสั่งเดิมสองมื้อ โยงการตัดสินใจออกจากชีวิตให้มากที่สุดเพื่อเก็บแบตไว้ใช้กับงาน แต่ก็มีคืนหนึ่งที่ตบะแตก เดินไปกินซีฟู้ดริมทะเล ปลาหมึกย่างสดหวานแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มอะไรมาก ข้าวผัดปูเม็ดโต ๆ คืนนั้นเดินกลับที่พักช้า ๆ พร้อมความคิดว่าการให้รางวัลกับวันเหนื่อย ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเหมือนกัน
ชายหาดช่วงเย็นให้บทเรียนเรื่องการวิ่งบนทรายที่ไม่เรียบ ถ้าวิ่งแนวน้ำขึ้นลงตรงที่ทรายแน่น จะได้แรงสะท้อนคืนมาพอประมาณ ไม่บาดเข่าง่ายเหมือนวิ่งบนทรายแห้ง พอวิ่งเสร็จก็ลงน้ำล้างเท้า นั่งยืดกล้ามเนื้อกล้ามน่องและเอ็นร้อยหวาย 5 นาที แล้วจดว่า วันไหนสนทนากับตัวเองได้ยาวกว่าเดิม วันไหนสมองหนวก ๆ เพราะประชุมเยอะเกินไป
คุยกับทีมล่วงหน้าเป็นเรื่องสำคัญ ผมบอกทีมว่าจะอยู่ทะเลห้าวันและขอเวลาทำงานลึกช่วงเช้า พอทุกคนรู้ ก็ช่วยกันย้ายประชุมให้เป็นช่วงบ่าย ทีมอังกฤษกลับบอกว่าเสียงคลื่นช่วงเย็นที่หลุดเข้ามาในสายประชุม “ฟังแล้วดีจัง” ผมเลยเอาไมค์ออกห่างหน้าต่างนิดหน่อยเพื่อลดเสียง แต่ใจแอบยิ้มเล็ก ๆ ที่ทะเลส่งเสียงทักถึงลอนดอนได้
ค่าใช้จ่ายรวม ๆ สำหรับห้าวัน: ที่พัก 2,000 บาท อาหาร 1,500 บาท คาเฟ่/เครื่องดื่ม 600 บาท ค่าเดินทาง 800 บาท อินเทอร์เน็ตเสริม 200 บาท รวมประมาณ 5,100 บาท ถ้ารวมงานที่ปิดได้สองชิ้น และไอเดียใหม่ที่ได้กลับมาอีกสามข้อ ถือว่าคุ้มจนอยากจองซ้ำ
ข้อควรระวังคือการแยกเส้นแบ่งระหว่างงานกับพัก ถ้าตอบแชตทั้งคืน ทะเลจะกลายเป็นเพียงฉากหลังของออฟฟิศ ผมตั้งกติกาส่วนตัวว่าหลังหนึ่งทุ่มจะไม่เปิดคอม ถ้าจำเป็นค่อยตอบเฉพาะข้อความที่วิกฤตผ่านมือถือ ทำแบบนี้สามวันแรกยาก แต่พอวันที่สี่หัวเริ่มนิ่ง รู้สึกว่างานของวันถัดไปชัดขึ้นเพราะสมองได้พักจริง ๆ
วันสุดท้ายก่อนกลับ ผมนั่งมองเรือประมงวิ่งกลับฝั่งทีละลำ แดดคล้อยต่ำจนผิวน้ำกลายเป็นแพรสีเงิน เห็นตัวเองในกระจกหน้าต่างคาเฟ่เป็นเงาจาง ๆ แล้วคิดว่า ที่จริงเราไม่ได้หนีงานมาหาทะเล แต่เราย้ายเรื่องสำคัญไปไว้ในที่ที่ได้ยินเสียงตัวเองชัดขึ้น และแค่นั้นก็มากพอที่จะเริ่มสัปดาห์ใหม่โดยไม่หมดไฟกลางทาง