เช้าตลาดสดกับกล้องฟิล์มม้วนที่ลืมไว้ในลิ้นชัก
ผมหยิบกล้องฟิล์มเก่าที่วางฝุ่นเกาะในลิ้นชักออกมาปัด ๆ ดู รุ่นธรรมดามาก ใช้ถ่านกระดุมสั่น ๆ ม้วนฟิล์มที่เหลืออยู่คือ 200T หมดอายุไปปีนึงแล้ว เลยตัดสินใจว่าเช้าวันอาทิตย์นี้จะไปตลาดสดหน้าปากซอย ลองถ่ายดู ไม่คาดหวังอะไรนัก นอกจากอยากเดินช้า ๆ แบบไม่ต้องรีบกดชัตเตอร์
ตลาดเช้ามีกลิ่นที่จำเพาะมาก ผักสดเปียกน้ำ เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า ผมยกกล้องเล็ง ๆ แต่ไม่รีบถ่าย รอให้คนหันไปคุยกับลูกค้าก่อน แล้วค่อยง้างคันขึ้นฟิล์ม ทีละเฟรม รู้สึกว่าการได้ถ่ายแบบจำกัดจำนวนรูปทำให้ตาเราตั้งใจเลือกมากขึ้น เด๋วนี้มือถือทำให้เรายิงรัวจนชิน พอลดจำนวนลงจึงกลับมาฟังตัวเองนิดหน่อยว่าอยากถ่ายอะไรกันแน่
เฟรมที่ชอบที่สุดของเช้านั้นคือรูปมือของลุงคนขายดอกไม้กำลังจับเชือกมัดช่อดาวเรือง แสงเข้าทางซ้ายพอดี ผิวหนังมือที่เป็นรอยขาว ๆ จากมีดเก่า ๆ บอกงานทั้งชีวิตของแกแบบไม่ต้องมีคำบรรยาย ผมถ่ายแล้วก้มดูช่องนับเลขกลม ๆ บนหลังกล้อง เหลืออีก 18 เฟรม ใจเย็นลงเหมือนถูกเตือนว่าไม่ต้องรีบ
กลับถึงบ้าน เอาฟิล์มไปล้างที่ร้านเล็ก ๆ ปากซอย เจ้าของร้านถามว่า “หมดอายุเหรอ” ผมพยักหน้า แกยิ้มบอกว่า “ฟ้าอาจเพี้ยน ๆ สนุกดี” ตอนรับไฟล์กลับมา รูปออกมาอมเขียวบางเฟรม สีเพี้ยนอย่างที่แกว่า แต่แปลกที่ผมชอบนะ มันเหมือนความจำที่ไม่เนี้ยบแต่จริงใจ
สรุปแล้วเช้านี้ไม่ได้รูปสวยแบบอินสตาแกรม แต่ได้ความรู้สึกว่าเมืองยามเช้ายังใจดีอยู่กับคนที่เดินช้า ๆ ถ้าลิ้นชักบ้านคุณยังมีกล้องที่ลืมไว้ ลองปัดฝุ่นแล้วพาไปตลาดสดซักเช้า เผลอๆ คุณอาจได้รูปที่ไม่ได้สวยที่สุด แต่จำได้นานที่สุด
หลังจากนั้นผมตั้งใจเดินไปยังโซนขายปลา แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์กระทบกับเกล็ดปลาเป็นประกายแบบที่ดิจิทัลทำให้ดูคมเกินจริงได้ง่าย แต่ฟิล์มมันใจเย็นกว่า ผมยกกล้องขึ้นระดับอก กดชัตเตอร์ช้า ๆ ตามสปีดที่วัดแสงได้ 1/60 วินาที มือสั่นนิดหน่อยแต่ตั้งใจจะปล่อยให้สั่น เพราะอยากเก็บความเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่ภาพนิ่ง ลองตั้งใจดูเงาของคนถือถุงพลาสติกที่แกว่งไปมาในเฟรม มันดูมีชีวิต โดยไม่ต้องชัดเป๊ะทุกพิกเซล
ลึกเข้าไปอีกหน่อยเป็นแผงขายเครื่องแกง โถแกงสีแดง ส้ม เหลือง เรียงแน่นจนเกือบล้นปากโถ แม่ค้าชวนชิมด้วยปลายช้อนเล็ก ๆ ผมขออนุญาตถ่ายรูป เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ถ่ายให้อร่อยนะ” ผมหัวเราะแล้วพยักหน้า ภาพที่ได้ออกมานุ่ม สีออกอมเขียวอย่างที่เจ้าของร้านล้างฟิล์มบอกไว้จริง ๆ แต่อุณหภูมิของสีทำให้รู้สึกถึงกลิ่นเครื่องเทศมากขึ้นอย่างประหลาด เหมือนจมูกได้ร่วมดูรูปด้วย
ผมเปลี่ยนมุมไปยืนหลังร้านไก่ทอด ดูพ่อค้าตักไก่จากตะแกรงเทใส่ถาด เสียงกรุบกรอบดังเป็นจังหวะที่คุ้นเคย ได้ถ่ายช็อตมือที่จับคีมคีบกับหยดน้ำมันที่เพิ่งตกลงกระทะ ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่ององค์ประกอบขั้นสูงอะไรหรอก คิดแค่ว่าอยากได้เส้นเรื่องที่เล่าความเช้าในตลาดผ่านมือของคนทำงาน พอกลับมาดูรูปในคอม ภาพที่มือมันเล่าได้มากกว่าหน้าคนจริง ๆ
ปัญหาที่เจอระหว่างถ่ายคือแสงผสม แสงหลอดมีอุณหภูมิสีคนละแบบกับแสงธรรมชาติที่ลอดหลังคาเข้ามา ผมไม่ได้มีฟิลเตอร์แก้แสงอะไรทั้งนั้น วิธีแก้แบบบ้าน ๆ คือลองถ่ายให้วัตถุอยู่ในแสงชนิดเดียวเท่าที่ทำได้ เช่น ถ้าจะถ่ายคน เดินให้เขาขยับเข้าไปในร่มหรือพาออกมานอกชายคา แล้วรอสองวินาทีให้ตาปรับ แล้วค่อยกด ไม่รีบ คำว่ารอในตลาดดูจะขัด ๆ กับจังหวะของมัน แต่บางทีรอสิบวินาทีก็ได้ช็อตที่คุ้มทั้งม้วน
ผมแวะคุยกับลุงคนหนึ่งที่นั่งซ่อมเครื่องชั่งเก่า ๆ ข้างกองตะปูสนิม แกร้องทักว่า “กล้องเก่าเหรอ” ผมบอกว่าใช่ แล้วเล่าว่าม้วนนี้หมดอายุไปปีนึง แกหัวเราะ บอกว่า “ของเก่าบางทีก็ดีเพราะมันไม่เร่งเรา” ประโยคนี้แหละติดหูไปทั้งวัน ฟังดูเหมือนคติสอนใจ แต่จริง ๆ มันคือคำอธิบายฟีลของฟิล์มม้วนนี้อย่างตรงไปตรงมา
ตอนสาย ๆ ผมย้ายไปโซนผลไม้ แสงเริ่มแรงขึ้นจนสปีดชัตเตอร์ได้ 1/250–1/500 สบาย ๆ จึงกล้าจับช็อตที่เร็วขึ้น เช่น เด็กวิ่งไล่กันรอบแผงแตงโม หรือแม่ค้าปอกสับปะรดเร็วปรื๋อ มีเฟรมหนึ่งที่ดันหมุนวงล้อไม่สุด ฟิล์มซ้อนทับกัน กลายเป็นแตงโมซ้อนกับยิ้มของเด็กพอดิบพอดี ภาพเสียในกติกาดิจิทัล กลับกลายเป็นของขวัญที่อนาล็อกชอบแอบให้
ผมถ่ายครบม้วนพอดีก่อนสิบโมง เดินกลับบ้านพร้อมถุงผักชีและส้มเขียวหวานสองกิโล ระหว่างทางคิดว่า ถ้าคนถ่ายรูปมือใหม่ถามว่าจะเริ่มยังไงดี ผมคงตอบว่าเริ่มที่ตลาดใกล้บ้านนี่แหละ เพราะทุกอย่างเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้รีบจนถ่ายไม่ทัน และคนในตลาดส่วนใหญ่อดทนต่อคนถือกล้อง เพราะเขาคุ้นกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว เคล็ดลับเดียวที่ใช้ได้เสมอคือมองตา แล้วยิ้ม ขออนุญาตสั้น ๆ จากนั้นขอบคุณให้ดังพอได้ยิน
เรื่องล้างฟิล์ม ผมลองทั้งส่งร้านและล้างที่บ้าน ชุดล้างบ้านมือใหม่ราคาไม่แรงเท่าที่คิด แต่ควบคุมไม่ได้ดีเท่าร้านในช่วงแรก ลองสแกนด้วยสแกนเนอร์ฟิล์มเก่า ๆ ที่ยืมเพื่อนมา พบว่าสีเพี้ยนไปอีกแบบเมื่อเทียบกับร้าน ผมชอบที่มันไม่แน่นอนดี เหมือนว่าวันถ่าย แสง แม่ค้า และอารมณ์ตอนนั้นยังไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมด มันเหลือช่องว่างให้เราจำต่อเอง
ภาพหนึ่งที่ผมอยากเล่าไว้เป็นท้ายเรื่อง คือรูปผู้ชายวัยกลางคนที่หันหลังให้กล้อง ยืนถือถุงปลาหมึกแห้งสองถุง แสงเช้าจับตรงขอบใบหูพอดี หลังคาโรงเรือนสร้างลายเส้นเฉียงลงมาเหมือนตั้งใจ ผมหยุดมองอยู่นานว่าทำไมรู้สึกคุ้น สุดท้ายถึงนึกออกว่ามันเหมือนภาพพ่อเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนพาไปตลาด เราไม่ได้มีรูปพ่อเยอะนัก รูปนี้เลยกลายเป็นรูปของพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ไม่ได้ถ่ายพ่อจริง ๆ ด้วยซ้ำ
ถ้าจะสรุปบทเรียนแบบใช้งานได้ในหนึ่งย่อหน้า: 1) เดินช้า ๆ แล้วให้เวลาเฟรม 2) ขออนุญาตด้วยรอยยิ้ม 3) ถ่ายมือและรายละเอียดที่เล่าเรื่อง 4) ยอมให้บางรูปสั่นเพื่อเก็บการเคลื่อนไหว 5) อย่ากลัวภาพเสีย เพราะมันสอนให้เราไม่คาดหวังมากเกินไป เด๋วๆ ก็ถ่ายดีขึ้นเอง 6) ลองพกเงินสดเล็ก ๆ ไว้อุดหนุนของจากแผงที่เราขอถ่ายรูป เป็นมารยาทที่ทำให้เช้าทั้งเช้ากลมกล่อมกว่าเดิม
เที่ยงนั้นผมกลับจากร้านล้างฟิล์มอีกรอบ แกเอาปริ๊นต์ 4x6 มาให้สองใบเป็นโบนัส บอกว่า “ฟ้าอมเขียวนิดหน่อย แต่พอดูรวม ๆ แล้วอบอุ่นดี” ผมรับมาแล้วยิ้ม ขอบคุณ แล้วเดินออกมาท่ามกลางแดดจัด ความคิดง่าย ๆ ผุดขึ้นมาว่า เราไม่ได้ต้องการรูปที่ดีที่สุดทุกครั้งหรอก บางวันเราแค่อยากเดินเข้าไปอยู่ในเมืองให้ลึกกว่าเดิมอีกนิด แล้วกลับมาพร้อมความทรงจำที่จับต้องได้พอประมาณ แค่นั้นก็พอแล้วกับม้วนที่ลืมไว้ในลิ้นชัก