คืนบนรถไฟไปสุราษฎร์ธานี เตียงล่าง หมอนขาว และเสียงราง
เราจองตั๋วรถนอนชั้นสอง เตียงล่างขบวนกรุงเทพฯ–สุราษฎร์ธานีไว้ล่วงหน้าสองสัปดาห์ เพราะอยากให้คืนสุดท้ายของปีเป็นการเดินทาง ไม่ใช่การนับถอยหลังหน้าจอ รถออกจากหัวลำโพงเก่าที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้วไม่ได้ แต่เรายังได้เริ่มจากสถานีกลางบางซื่อที่กว้างและสว่างแบบสนามบิน เสียงประกาศชัดเจน บนชานชาลามีพนักงานใส่หมวกสีเข้มยืนตรวจความเรียบร้อย ข้าง ๆ มีร้านข้าวราดแกงที่ยังเปิดขายผู้โดยสารมื้อค่ำด้วยเมนูง่าย ๆ แต่อุ่นใจ
ก่อนขึ้นรถเราซื้อชาเย็นขวดพลาสติกหนึ่ง กับขนมปังไส้หมูหยองน้ำสลัดเก็บไว้เผื่อดึก ๆ หิว รถไฟสีเงินยาวเหยียดเปิดประตูทีละบาน ประกายไฟสะท้อนบนพื้นชานชาลาที่เพิ่งถูกถูแห้ง เสียง “ติ๊ง” เบา ๆ ของประตูอัตโนมัติทำให้รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้นุ่มนวลกว่าที่คุ้นเคยขึ้นนิดหนึ่ง ขึ้นไปในตู้แล้วกลิ่นแอร์ผสมผ้าปูที่นอนซักใหม่ลอยมา เป็นกลิ่นที่ช่วยให้จินตนาการเห็นเช้าวันใหม่ง่ายขึ้นแปลก ๆ
เตียงล่างฝั่งริมหน้าต่างของเราอยู่โบกี้กลาง ๆ พนักงานเตียงยิ้มให้แล้วชี้จุดเก็บสัมภาระ เขาถามสั้น ๆ ว่า “จะให้กางเตียงเลยไหม” เราบอกขออีกครึ่งชั่วโมง เผื่ออยากนั่งมองทางสักพัก พอรถเริ่มเคลื่อน เสียงล้อเหล็กกระทบรอยต่อรางดังเป็นจังหวะคุ้น ๆ กึกกัก กึกกัก แสงเมืองถอยหลังอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าต่างกรอบใหญ่ที่มีม่านสีฟ้าอ่อนรูดเก็บอยู่
ไม่นานนักพนักงานเข็นรถเข็นอาหารร้อนผ่านโบกี้ เมนูไม่มาก ข้าวผัด ไก่ทอด ไข่ดาว และซุปสาหร่าย พวกเราแบ่งข้าวผัดหนึ่งกล่องมากินร่วมกัน จากนั้นก็นั่งจิบชาเย็นดูแสงนีออนยาวเป็นเส้นบนสะพาน บางทียาวจนคิดถึงวัยเด็กที่เคยนับเสาไฟระหว่างทางเพื่อฆ่าเวลา การเดินทางช้านี่พอทำจริง ๆ แล้วไม่ได้รู้สึกยาวอย่างที่กลัว เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ในชีวิตประจำวันเราไม่ค่อยมีโอกาสได้มอง
สักพักพนักงานกลับมาพร้อมผ้าปูและหมอน เขากางเตียงให้ในไม่กี่นาที ฟูกสีฟ้านิ่มกว่าที่คิด เราเอากระเป๋าไปไว้ปลายเท้าแล้วรูดม่านปิด กลายเป็นห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง เสียงคนเดินผ่านด้านนอกยังดังอยู่บ้าง แต่พอม่านปิด ความเป็นส่วนตัวก็เกิดขึ้นอย่างประหลาด เปิดไฟอ่านหนังสือหัวเตียงสีเหลืองอุ่น หยิบหนังสือที่พกมาหนึ่งเล่มออกมา เปิดหน้าที่คั่นค้างไว้ตั้งแต่เดือนก่อน ไม่มีอะไรฟินไปกว่าการอ่านบนรถไฟที่โยกนิด ๆ แบบนี้แล้วละ
ผ่านนครปฐมไปไม่ทันไรฝนเริ่มพรำ กระจกหน้าต่างเป็นจุด ๆ สะท้อนแสงไฟบ้านนอกทาง เสียงฝนผสมเสียงรางเป็นเพลงกล่อมง่าย ๆ หายใจเข้าออกยาว ๆ แล้วเริ่มง่วง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะนั่งดูวิวอีกหน่อย แต่ร่างกายกลับเชื่อทางรถไฟมากกว่าสติ พักหนึ่งสะดุ้งตื่นเพราะรถเบรกเข้าโค้งยาว ได้ยินเสียงเด็กในโบกี้ถัดไปหัวเราะคิกคัก คงตื่นเต้นกับเตียงบนที่ต้องปีนขึ้นไปนอนโดยใช้บันไดเล็ก ๆ เห็นภาพตัวเองตอนเด็กชัดจนหัวเราะออกมาในม่านคนเดียว
ราวตีสี่พนักงานปลุกเบา ๆ ว่าอีกประมาณชั่วโมงจะถึงสุราษฎร์ธานี เขาถามว่าต้องการกาแฟไหม เราพยักหน้าเพราะหนาวนิด ๆ จากแอร์ ได้แก้วกระดาษร้อน ๆ มาอิงมือ รสชาติเข้มพอให้ตาสว่าง ปลายลิ้นยังมีรสชาเย็นค้างอยู่นิดหน่อย กลายเป็นคอคเทลคาเฟอีนแปลก ๆ ที่เข้ากับเช้ามืดบนรถไฟอย่างไม่น่าเชื่อ
พอฟ้าสว่างทีละน้อย เงาของต้นมะพร้าวโผล่พ้นขอบฟ้า ทุ่งกว้างสลับบ่อเลี้ยงปลา ตรงระยะสายตาเห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ใส่เสื้อกันฝนพลาสติกสีใสขับขนานไปกับรถรางอยู่พักหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าโลกภายนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมเราอีกครั้ง รถชะลอเข้าเขตเมือง เสียงล้อเหล็กกลายเป็นจังหวะสั้นลง ประกาศในโบกี้แจ้งว่าปลายทางต่อไปคือสถานีสุราษฎร์ธานี ขอให้ตรวจสอบสัมภาระก่อนลงจากรถ
ลงชานชาลาอากาศชื้นและอุ่นกว่ากรุงเทพฯ อย่างชัดเจน กลิ่นดินกับกลิ่นขนมจีนจากร้านแผงลอยหน้าสถานีลอยมาแตะจมูกแบบพร้อมกัน เราเดินไปถามที่เคาน์เตอร์รถสองแถวเพื่อไปท่ารถบัสหรือจะไปฟันฝางเพื่อขึ้นเรือก็ได้ เจ้าหน้าที่วางป้ายกระดาษเขียนมือบอกเวลาออก พูดง่าย ๆ ตรง ๆ แบบคนทางใต้ที่เราชอบ บทสนทนาสั้น ๆ พอให้รู้ว่าที่นี่ไม่รีบเท่าไหร่ ซึ่งเข้ากับจังหวะของเราในวันนี้อย่างพอดี
ระหว่างรอรถ เราไปยืนใต้ร่มไม้หน้าสถานี ดูรถไฟขบวนอื่น ๆ เข้าเทียบท่ารับส่งผู้โดยสาร มีชาวสวนหิ้วตะกร้าผลไม้สองใบขึ้นขบวน มีนักเรียนม.ปลายถือกระเป๋าเป้ลายการ์ตูน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติยืนดูตารางรถไฟอย่างงง ๆ แล้วหัวเราะกันเองเบา ๆ ภาพเหล่านี้ทำให้เข้าใจว่ารถไฟไม่ได้พาแค่เราไป แต่พาทุกชีวิตบนเส้นทางเดียวกันไปพร้อม ๆ กัน คนละปลายทาง แต่ร่วมเวลาเดียวกันชั่วครู่
การเดินทางค่ำคืนไม่ได้โรแมนติกเสมอไปหรอกนะ บางคืนก็หนาว บางคืนก็เสียงดัง บางคืนเตียงบนมีคนกรนจนต้องใส่หูฟัง แต่คืนนี้มันพอดีไปหมด ทั้งอากาศ ทั้งเสียง ทั้งความนุ่มของฟูก และความจริงที่ว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นที่เมืองใหม่ ใจเลยอ่อนโยนกับโลกรอบ ๆ มากกว่าปกติเล็กน้อย แค่นี้ก็ถือว่าการปีนขึ้นเตียงล่างคืนนั้นคุ้มสุด ๆ แล้ว
ท้ายสุด ถ้าใครลังเลว่าจะเลือกรถนอนชั้นหนึ่งหรือชั้นสองดี เราคงตอบไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ความสบายที่แต่ละคนต้องการ เราชอบชั้นสองเพราะได้เห็นคนไปมา ได้ยินเรื่องเล่าผ่าน ๆ ได้ยินหัวเราะจากโบกี้ข้าง ๆ และได้รู้ว่าบนรางเดียวกันก็มีชีวิตอื่น ๆ เดินทางร่วมกับเราอย่างลอบ ๆ อยู่เสมอ พอเช้าใหม่มาถึง ทุกคนก็แยกย้ายไปเส้นทางของตัวเอง ทิ้งไว้เพียงเสียงรางที่ยังดังในหัวเบา ๆ อีกสักพัก ก่อนละลายหายไปเมื่อแสงแดดแรงขึ้น