thammarith

เดินป่าระยะสั้นที่เขาใหญ่ ฝนซาแล้วฟ้าเปิด

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

หลังฝนหยุด อากาศในป่าชื้นและหอมดิน เดินตามทางศึกษาธรรมชาติที่ไม่ไกลมาก เสียงน้ำตกเล็กๆ อยู่ข้างหน้าเป็นระยะๆ แสงลอดผ่านใบไม้เป็นลายสวย ทางเดินช่วงแรกเป็นดินผสมกรวด มีรอยรองเท้าคนก่อนหน้าเป็นหลุมเล็กๆ เต็มไปหมด พอเหยียบไปก็ได้ยินเสียงน้ำซึมขึ้นมาเบาๆ รู้ตัวว่ารองเท้าจะชุ่มเร็วกว่าที่คิด แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัน

ผมเลือกเส้นทางที่ป้ายบอกว่าใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ครึ่งแรกไปถึงจุดชมวิวเล็กๆ ครึ่งหลังวนกลับมาที่ลานจอดรถ พวกเราเริ่มช้าๆ ให้ร่างกายอุ่นก่อน เดินไปคุยไป หยุดดูเห็ดแปลกๆ ที่ขึ้นเป็นวงบนตอไม้ผุ บางดอกสีส้มสด บางดอกเป็นน้ำตาลเข้มคล้ายคราบไม้เผา แตะเบาๆ แล้วรู้สึกว่ามันกรุบกรอบเหมือนขนมชิ้นจิ๋ว (แต่อย่าหักนะ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา)

สักพักเสียงชะนีไกลๆ ดังขึ้นมาเป็นช่วงๆ เหมือนเพลงประกอบธรรมชาติที่ไม่มีวันเบื่อ ถ่ายรูปไม่ได้หรอก มันไกลเกิน แต่มันก็คืออย่างนั้นแหละ บางอย่างแค่ฟังก็พอ ไม่ต้องมีรูปก็เก็บกลับมาได้ครบกว่า หลายครั้งเราหลงคิดว่าต้องได้ภาพกลับไปเสมอ ทั้งที่จริงๆ ลมหายใจตอนยืนฟังอยู่ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า

พอถึงทางแคบที่มีไม้ล้มพาดขวาง เราต้องก้มลอด ใบไม้สีกลืนกับดินจนแทบไม่เห็นทาง ถ้าฝนมาต่อเนื่องสักวันสองวันคงลื่นกว่านี้มาก รองเท้าผ้าใบธรรมดาเริ่มโชว์ข้อจำกัด หมุดยางไม่กัดกับดินเท่าไหร่ ต้องใช้ปลายเท้ามากกว่าปกติเพื่อควบคุม ยิ่งเดินยิ่งเข้าใจว่าทำไมคนที่เดินป่าบ่อยถึงให้ความสำคัญกับรองเท้าดีๆ ขนาดนั้น

กลางทางมีลานโล่งเล็กๆ ที่แสงลงได้เต็มที่ ต้นหญ้าสูงถึงเอวสองสามแปลงลู่ไปตามลม แดดส่องผ่านหยดน้ำที่ค้างตามปลายใบ กลายเป็นประกายเล็กๆ เหมือนใครโปรยเกลือบนผืนหญ้า ผมยืนมองอยู่นานจนคนอื่นเรียกให้ออกเดินต่อ ทั้งที่ระยะทางจริงๆ ยังเหลืออีกเยอะ เดินช้าๆ แบบนี้แหละสนุกกว่าไปให้ถึงเร็วๆ อย่างประหลาด

เราพบเห็ดรูปทรงประหลาดอีกชนิด สีออกขาวขุ่นคล้ายฝานทุเรียนอ่อนๆ ขึ้นเป็นแผงเรียงซ้อนกันบนท่อนไม้กลวง นกตัวเล็กสีเทาบินเฉี่ยวไปไวมาก ถ่ายรูปไม่ทันเลยสักที ด้านข้างมีมดดำเดินเป็นแถวตรงมาก ผมยืนดูอยู่นานแล้วนึกขำว่าพวกมันมีงานอะไรสำคัญกันนักหนา เดินกันเป็นสายเหมือนถนนในเมืองที่รถไม่เคยหยุด ทั้งที่นี่คือป่า

ใกล้ถึงน้ำตกเล็กๆ เสียงน้ำดังขึ้นเรื่อยๆ พอไปถึงก็พบว่ามันเป็นน้ำตกเตี้ยๆ กว้างประมาณสองเมตร น้ำใสไหลผ่านหินสีเทาดำที่เรียงกันเป็นขั้น ดูไม่หวือหวาแต่สบายตา เราถอดรองเท้าเดินลงไปบนหินเย็นๆ น้ำสูงแค่ข้อเท้า ล้างเหงื่อที่คอและหน้าด้วยน้ำเย็นสะอาด ความเหนื่อยหายไปครึ่งหนึ่งทันที คิดถึงน้ำแข็งใสแตงโมขึ้นมาเฉยๆ แล้วก็หัวเราะกับตัวเอง

เรานั่งพักที่นั่นนานกว่าที่ตั้งใจ นับวงปีบนท่อนซุงที่ตัดเป็นม้านั่งคร่าวๆ ดูลำธารเล็กๆ ไหลผ่านรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากดินคล้ายเส้นเลือด ผมเอามือแตะเปลือกไม้แล้วหลับตาอยู่สักครู่ ไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่เงียบให้หัวสมองหล่นลงสู่พื้นท้อง เราพูดกันสั้นๆ ว่าจะเดินต่อดีไหม แต่สุดท้ายก็ยังนั่งอยู่เหมือนเดิมอีกพักใหญ่

ขากลับเดินเงียบๆ ไม่คุยกันมาก ปล่อยให้เสียงป่าทำงานของมันไป ผมลองตั้งใจฟังเฉพาะเสียงที่มาไกลๆ ก่อน แล้วค่อยย้ายความสนใจมาเสียงใกล้ๆ เหมือนค่อยๆ ซูมเข้าออกด้วยหูของตัวเอง ความแปลกคือพอทำแบบนี้สักห้านาที จะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ตรงกลางของสนามเสียงใหญ่ๆ ที่ขอบเขตไม่แน่นอน ความคิดฟุ้งซ่านค่อยๆ หลุดออกไปทีละเส้นเองโดยไม่ต้องบังคับ

ฝนเริ่มกลับมาโปรยปรายเบาๆ ตอนเราเหลือระยะประมาณยี่สิบนาทีสุดท้าย แต่เป็นฝนสั้นๆ แบบใจดี ฟ้าค่อยๆ เปิดทีละน้อย ผมชอบช่วงเวลาที่แดดแรกหลุดออกมาหลังฝน ทุกอย่างดูสดขึ้นพร้อมกัน ทั้งสีใบไม้ เสียงน้ำ และกลิ่นดินที่ชัดขึ้นเหมือนโดนขยายคอนทราสต์ ใบไม้บางใบสะท้อนแสงจนเหมือนมีไฟอยู่ข้างใต้

ก่อนออกจากอุทยาน แวะซื้อไอติมกะทิหน้าออฟฟิศ กินแล้วหัวเราะกันว่า ทำไมมันอร่อยง่ายๆ แบบนี้ก็ไม่รู้ ทริปสั้นแต่เติมพลังดีมาก ระหว่างกลับรถผ่านด่าน ผมนึกถึงบทเรียนที่ได้จากสองชั่วโมงนี้: ไม่ต้องไปให้ไกลกว่าความตั้งใจ แต่ให้ไปให้ลึกกว่าเดิมอีกนิด อยากกลับมาอีกในวันที่ฝนลงห่าใหญ่จริงๆ เพื่อดูว่าทางเดิมจะกลายเป็นคนละที่ไหม

ผมจดลิสต์ของที่ควรพกครั้งหน้าไว้: ถุงเท้าสำรองหนึ่งคู่ ผ้าขนหนูเล็กสำหรับเช็ดเหงื่อ กล่องกันน้ำสำหรับโทรศัพท์ และถุงขยะใบเล็กเผื่อเก็บเศษพลาสติกที่เจอตามทาง พอเขียนเสร็จก็ยิ้มจางๆ ให้ตัวเองในกระจกมองข้างรถ เหมือนคนที่ได้เติมน้ำในถังใจจนล้นขอบนิดๆ พร้อมกลับไปเจอความวุ่นวายในเมืองแบบไม่หนี แต่ก็ไม่ยอมให้มันกลืนเราง่ายๆ อีกแล้ว