thammarith

หนึ่งเดือนทำงานระยะไกลที่เชียงใหม่ เมืองที่ชวนให้จัดจังหวะชีวิตใหม่

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

เราย้ายมาทำงานระยะไกลที่เชียงใหม่หนึ่งเดือนด้วยเหตุผลง่ายๆ สองข้อ หนึ่ง อยากอยู่กับภูเขาและอากาศเย็นตอนเช้า สอง อยากทดลองดูว่าเมื่อหลุดจากจังหวะเมืองหลวงที่อัดแน่น เราจะทำงานได้ดีขึ้นหรือล้มเหลวหมดรูปกันแน่ ความกลัวคือจะเหงาและทำงานไม่เป็นเวลา ความหวังคือจะได้นอนหลับเต็มตื่น วิ่งเย็นๆ ริมคูเมือง และได้คุยกับตัวเองโดยไม่ต้องตะโกนแข่งกับเสียงสี่แยกไฟแดง เราเช่าห้องสตูดิโอเล็กๆ ใกล้กาดสวนแก้ว ค่าเช่าถูกกว่าคอนโดกรุงเทพฯ เกือบครึ่ง มีหน้าต่างบานใหญ่ที่รับแสงเช้ายาวจนถึงสิบโมง เตียงนุ่มเกินพอดี และโต๊ะไม้ที่พอจะเป็นโต๊ะทำงานได้ เราเปิดปฏิทิน วางแผนแบบคร่าวๆ ว่าจะตื่นกี่โมง ออกกำลังกายเมื่อไหร่ และจะมีคาเฟ่ประจำกี่ร้าน

สัปดาห์แรกคือสัปดาห์ของการปรับตัว แอร์ห้องเช่าดังนิดๆ แต่พอหลับไปแล้วก็หายไปกับความเงียบของซอย ช่วงเช้าเราใช้เวลาเดินไปคาเฟ่เล็กๆ แถวสันติธรรม ร้านเปิดแปดโมง มีปลั๊กไฟพอประมาณ กลิ่นกาแฟหอมแบบที่ไม่ต้องถ่ายรูปลงไหน เราเปิดงานแบบค่อยเป็นค่อยไป วันแรกตั้งใจทำเฉพาะงานที่ต้องคิดยาว เช่นออกแบบระบบเล็กๆ ที่ต้องเขียนสเปกให้ทีม หลังเที่ยงค่อยกลับห้องเพื่อประชุมกับทีมในกรุงเทพฯ ที่เริ่มบ่ายสอง จังหวะนี้ทำให้เราเห็นว่าการทำงานระยะไกลไม่ได้แปลว่าต้องนั่งในห้องตลอดเวลา แค่จัดตำแหน่งงานให้เข้ากับสถานที่ก็พอ

เย็นวันแรกเราไปวิ่งที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด รอบหนึ่งประมาณหนึ่งกิโลนิดๆ คนเชียงใหม่ออกมาวิ่งกันพอประมาณ มีทั้งคนวิ่งจริงจัง คนเดินคุยโทรศัพท์ และคนที่พาสุนัขมาเดินเล่น แดดอ่อนลงเร็วกว่ากรุงเทพฯ ทำให้วิ่งได้แบบไม่ทรมาน เราวิ่งสองรอบครึ่ง หายใจเป็นจังหวะ 3-2-3-2 แบบที่เคยอ่านมา สลับกับเดินดูคน บางทีคำว่า “อยู่คนเดียว” ก็หมายถึงอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก แต่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เรากลับห้อง เหนื่อยพอดี กินข้าวแกงราดสองอย่างจากปากซอย แล้วหลับเร็วแบบไม่ต้องสู้กับเสียงรถ

สัปดาห์ที่สองเราเริ่มหา “จุดทำงาน” ที่เหมาะกับงานแต่ละประเภท ร้านหนึ่งที่เจอแถววัดเกตุเป็นคาเฟ่ไม้เก่าที่แสงเช้าสวยมาก เหมาะกับการเขียน เอกสารไหลลื่นกว่าปกติอย่างประหลาด เราคิดว่ามันเกี่ยวกับแสงที่พอดีกับสายตาและเสียงเครื่องชงที่ไม่ดังเกิน ส่วนงานโค้ดที่ต้องเข้ม เราชอบนั่งที่โคเวิร์กกิ้งสเปซแถวถนนนิมมาน ที่นั่นเก้าอี้ดี โต๊ะกว้าง และเน็ตเร็ว ที่สำคัญคือมี “บรรยากาศของคนกำลังทำงาน” ซึ่งช่วยพาเราให้เข้าจังหวะโดยไม่ต้องตั้งใจเกินไป เราลองสลับสถานที่แบบนี้สามสี่วัน แล้วพบว่าประสิทธิภาพขึ้นจริงๆ เพราะสมองจับสัญญาณสถานที่แล้วเข้าสู่โหมดที่ใช่เองโดยอัตโนมัติ

เราตั้งกฎเล็กๆ ระหว่างเดือนนี้ เช่นไม่กินกาแฟเกินวันละสองแก้ว ไม่ประชุมเกินสามชั่วโมงต่อวันถ้าไม่จำเป็น และไม่ออนไลน์หลังสามทุ่ม ข้อสุดท้ายช่วยชีวิตมาก พอสามทุ่มปิดโน้ตบุ๊ก เดินไปซื้อส้มที่หน้าเซเว่น กลับมาอาบน้ำ แล้วอ่านหนังสือ เราอ่านหนังสือกระดาษมากกว่าหน้าจอจนเริ่มหลับแบบธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ เช้าถัดไปก็เลยตื่นง่ายขึ้นโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาหลายเรือนเหมือนอยู่กรุงเทพฯ ความรู้สึกว่าตัวเองควบคุมตารางได้มากขึ้นทำให้วันทั้งวันเบาลงอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องอาหารเป็นอีกเรื่องที่สนุกในเชียงใหม่ เราชอบเดินตลาดตอนเช้าที่กาดหลวงหรือกาดธานินทร์ ซื้อผักผลไม้กลับไปทำข้าวเช้าบ้าง เช่นข้าวต้มปลาทูใส่ขิงกับต้นหอม หรือไข่กวนใส่ผักโขมกับมะเขือเทศ พอตกเย็นก็สลับไปกินขนมจีนซาวน้ำ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ หรือข้าวซอยร้านเล็กในซอยที่ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ อาหารเชียงใหม่มีความโอบอุ้มแบบลึกๆ เหมือนคนทำตั้งใจให้คนกินอยู่ได้จริง ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปสวย เรารู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ ปรับตัวตามอาหารและอากาศอย่างช้าๆ

เราเจอวันที่ทำงานไม่ออกด้วย ไม่ใช่ทุกวันจะสวย เรามีเช้าวันพุธหนึ่งที่เจอสถานะบล็อกในงาน ฟีเจอร์ที่รับผิดชอบไปติดที่บริการอีกทีมหนึ่ง รอคำตอบนานผิดปกติ ความรู้สึกไร้ประโยชน์เกาะหัวใจอย่างเนียน เราเดินออกจากคาเฟ่ไปยืนริมปิง ลมหายใจยาวขึ้น มองน้ำไหลไม่รีบ แล้วกดโทรหา PM เพื่อคุยทางออก พอวางสาย เราส่งอีเมลสั้นๆ สรุปทางเลือกสามทางและผลกระทบ ไม่เกินห้าบรรทัด กลับมานั่ง โฟกัสไปที่งานอีกชิ้นที่ไม่ติด เราบอกตัวเองว่าเดือนนี้เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อหนีงาน แต่เพื่อเรียนรู้จะทำงานโดยไม่ลากใจไปกับทุกอย่างที่ควบคุมไม่ได้

สุดสัปดาห์เราเริ่มชวนตัวเองออกนอกเมือง เสาร์หนึ่งเช่าจักรยานไปเส้นคันคลองชลประทาน ปั่นช้าๆ เห็นคนพายซัปบอร์ดไกลๆ อาทิตย์ถัดไปขึ้นดอยสุเทพแต่หยุดแค่ครึ่งทาง เพราะขาไม่ไหว แล้วนั่งกินน้ำส้มคั้นสดที่ร้านข้างทางที่วิวสวยกว่ารสชาติ แต่ใจชอบ วันอื่นๆ ก็แค่เดินสวนสาธารณะหรือไปวัดเจดีย์หลวงตอนบ่ายแก่ๆ นั่งดูเงาทาบกำแพงเก่า ความช้าของเมืองนี้ค่อยๆ สอนให้เรายอมช้ากับตัวเองด้วย ไม่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จในวันเดียว ไม่ต้องรีบชอบหรือรีบเกลียดที่ไหนทันทีทันใด

เรารู้จักคนใหม่ๆ อย่างไม่ตั้งใจ บาริสต้าร้านประจำแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นอร่อยตรงข้ามสนามกีฬา พนักงานโคเวิร์กกิ้งชวนคุยเรื่องคีย์บอร์ดกลไก แล้วเปิดโลกให้ลองสวิตช์อื่น น้องนักศึกษาที่มานั่งติวสอบข้างๆ เล่าเรื่องทำพอร์ตสมัครงานฝึกงาน บทสนทนาเหล่านี้ไม่ได้ลึกมาก แต่เป็นเส้นด้ายเล็กๆ ที่เย็บเดือนนี้ให้อบอุ่นขึ้น เราเริ่มทักทายคนที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ แบบไม่รู้ชื่อ และพบว่าความเหงาลดลงแบบไม่ได้จัดพิธีอะไร

กลางเดือนเราเจอฝนหนักสองวัน น้ำที่ถนนหน้าคอนโดท่วมถึงข้อเท้า เราตั้งใจว่าจะทำงานจากห้องทั้งสองวัน ปรับโต๊ะให้ใกล้หน้าต่าง เอากาต้มน้ำไว้ข้างๆ วางขนมปังกรอบและผลไม้บนจานเล็กๆ ปิดแจ้งเตือนส่วนใหญ่ เปิดเพลงแจ๊สเบาๆ แล้วลงมือทำงานลิสต์ยาวๆ ที่ต้องการสมาธิ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง การจัดสภาพแวดล้อมแบบจงใจช่วยได้มากกว่าที่คิด เราเขียนโน้ตไว้ว่า “ถ้าฝนตกหนัก ให้ทำงานที่ต้องลุยล้วนๆ” กลายเป็นสูตรที่ใช้ได้ทั้งในเชียงใหม่และกรุงเทพฯ

ปลายเดือนเราปรับตารางใหม่ให้ตื่นเร็วขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อไปว่ายน้ำที่สระของมหาวิทยาลัยก่อนทำงาน สระกว้าง คนไม่เยอะ น้ำเย็นพอดี ว่าย 500 เมตรแบบไม่เร่งแล้วกลับมาทำงาน พบว่าช่วงสายสมองใสกว่าทุกวัน เราเริ่มจดเมนูของตัวเอง วอร์ม 100 เมตร ฟรีสไตล์ช้า 200 เมตร กรรเชียง 100 เมตร คูลดาวน์ 100 เมตร พอทำซ้ำสองสามวันก็เห็นว่าฟิตขึ้นเล็กน้อย นอนหลับดีขึ้นอีกหน่อย และใจนิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพยายาม เราเริ่มรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับร่างกายตัวเองแบบที่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยยอมให้เห็นเพราะเสียงดังเกินไป

การอยู่เชียงใหม่หนึ่งเดือนทำให้เราเจอความจริงง่ายๆ สองสามข้อ หนึ่ง เราควบคุมเวลาได้มากกว่าที่คิดถ้ากล้าวางขอบเขตและรักษามัน สอง เมืองที่ช้ากว่าสอนให้เราเห็นว่าความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเร่ง สาม ความสัมพันธ์เล็กๆ ในแต่ละวันเย็บใจเราให้ไม่แตกง่าย เราไม่ได้บอกว่าเวิร์กฟรอมแอเนียแวร์คือคำตอบของทุกคน มีบริบทงาน ครอบครัว และการเงินเป็นตัวแปรสำคัญ แต่สำหรับเรา เดือนนี้คือการทดสอบที่ผ่านแบบไม่สวยงามแต่ซื่อสัตย์

คืนสุดท้ายก่อนกลับ เราเดินริมคูเมืองด้านประตูช้างเผือก แสงไฟสะท้อนน้ำเป็นทางยาว รถผ่านเป็นพักๆ ไม่พลุกพล่าน เราคิดถึงกรุงเทพฯ และความวุ่นวายที่รออยู่ และคิดถึงเชียงใหม่ที่ใจดีพอจะรับเราไว้หนึ่งเดือน เราถ่ายรูปน้ำเงียบๆ เก็บไว้หนึ่งรูป แล้วปิดมือถือ เดินกลับห้องช้าๆ จัดกระเป๋า ใส่หนังสือที่อ่านไม่จบลงไปด้วย ตั้งใจว่าจะอ่านต่อบนเครื่องวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้เดือนนี้พับเก็บแบบเรียบๆ ไม่มีบทส่งท้ายหวือหวา แค่ทำเครื่องหมายเล็กๆ ไว้ในใจว่า ครั้งหน้า ถ้ามาอีก จะลองอยู่ฝั่งสันกำแพงดูบ้าง เมืองนี้ยังมีจังหวะอีกหลายแบบที่เราอยากลองฟัง