thammarith

คืนลานกางเต็นท์ที่น่าน ดาวตกกับเสียงลมหายใจของป่า

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ตั้งใจจะไปน่านมาหลายปี สุดท้ายก็ได้ไปจริง ๆ แบบไม่มีแผนละเอียด จองรถ จองที่พัก แล้วก็สะพายเป้ใบเดิม ๆ ออกจากบ้านในเช้าวันศุกร์ ฝนเพิ่งหยุดตก ท้องฟ้าสีเทา ๆ ที่กรุงเทพฯ ทำให้ใจมันอยากเจอสีเขียวเข้มของภูเขาซักที

รถตู้จากตัวเมืองขึ้นมาปัวช้า ๆ คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา เราหลับบ้างตื่นบ้าง เสียงเพลงลูกทุ่งคลอเบา ๆ กับกลิ่นน้ำมันเครื่องจาง ๆ ชวนให้นึกถึงสมัยเรียนมหาลัยที่นั่งรถกลับบ้านต่างจังหวัดทุกเดือน ความทรงจำเก่า ๆ เหล่านี้พอนึกถึงก็เหมือนได้บิดปุ่มลดเสียงความวุ่นวายของชีวิตทำงานลงไปนิดนึง

เป้าหมายของทริปครั้งนี้ง่ายมาก: อยากกางเต็นท์สักคืน อยากต้มมาม่าในหม้อใบเล็ก อยากนอนฟังลมปะทะผ้าเต็นท์แล้วหลับยาว ๆ ไม่คิดเรื่องงาน ไม่เปิดอีเมล์ ไม่คุยเรื่องเดดไลน์ ถ้าฟ้าเปิดก็อยากเห็นดาวเต็มฟ้า

พอมาถึงปัว เราเช่ามอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้คันเก่า ๆ จากร้านหน้าตลาด ค่าบริการวันละสองร้อย เจ้าของร้านยิ้มเก่ง ถามว่าจะไปไหน พอบอกว่าจะขึ้นลานกางเต็นท์ เขาก็ยื่นเสื้อกันฝนพลาสติกให้บอกว่า “ทางบนดอยฝนยังมา ๆ หยุด ๆ ระวังลื่นเด้อ” คำเตือนสั้น ๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างแปลก

บ่ายนั้นขี่รถขึ้นไปช้า ๆ ทางไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย โค้งแคบกับพื้นถนนที่ผุพังบางช่วงทำให้ต้องใจเย็นเป็นพิเศษ สองข้างทางเป็นสวนข้าวโพดคละกับป่าดิบเขา กลิ่นดินเปียกหลังฝนมันชัดเจนมากจนเหมือนสูดเข้าไปได้เต็มปอด เราแวะร้านชำเล็ก ๆ ข้างทางซื้อกะป๋องกาแฟ ตะเกียบไม้ แล้วก็ไข่ไก่ครึ่งโหล ป้าเจ้าของร้านถามว่ามากันกี่คน พอตอบว่า “คนเดียวครับ” แกหัวเราะบอกว่า “เก่งเนอะ ไปคนเดียวก็ไป” คำชมง่าย ๆ แบบนี้ใครจะไม่ชอบ

ถึงลานก่อนพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย ลานไม่ใหญ่ มีเต็นท์ตั้งอยู่ห้าหกหลัง คนไม่เยอะเพราะยังไม่ใช่ฤดูฮิต เราเลือกจุดใกล้แนวสน ห่างจากห้องน้ำพอประมาณ กางเต็นท์เสร็จฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มอมชมพู อยู่ ๆ ลมก็ขึ้นมาเบา ๆ กลิ่นสนชัดจนอยากเก็บขวดมาบรรจุเก็บไว้ ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าที่วิ่งหนี ๆ เมืองมาทั้งวันคือเพื่อวินาทีแบบนี้แหละ

มื้อเย็นง่ายมาก หม้อเล็กตั้งบนเตาแก๊สกระป๋อง น้ำเดือด คีบเส้นโยนลงไป ใส่ไข่หนึ่งฟอง โรยต้นหอมซอยที่ติดมาจากตลาด เสียงน้ำซุปเดือดปุด ๆ ดังแข่งกับเสียงแมลงกลางคืน มาม่าธรรมดา ๆ ที่กรุงเทพฯ กินกี่ทีก็ธรรมดา แต่บนที่สูง 1,200 เมตรกลับอร่อยแบบไม่ต้องมีเหตุผล พออิ่มก็ชงโกโก้ร้อน นั่งถือแก้วอุ่น ๆ ไว้ในมือแล้วมองฟ้าทีละนิด ๆ

คืนนั้นเมฆไม่ได้หายไปหมด แต่มีช่วงที่ฟ้าเปิดเป็นช่องใหญ่ เราเห็นกลุ่มดาวแม้จะจำชื่อได้ไม่หมด เส้นทางช้างเผือกพาดลาง ๆ บนท้องฟ้า มีดาวตกเส้นหนึ่งไหลผ่านอย่างรวดเร็ว คนเต็นท์ข้าง ๆ เผลอร้อง “เฮ้ย” เบา ๆ พร้อมกัน เราหัวเราะให้กับความบังเอิญ แล้วก็เผลออธิษฐานขอให้ปีนี้ทำงานแบบไม่หล่นหายตัวเอง… อธิษฐานแบบไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกว่าอธิษฐานได้หรือเปล่า แต่ใจมันขอออกไปเอง

ราวเที่ยงคืนลมเริ่มแรงขึ้น ผ้าเต็นท์กระพือ เสียงซิปดังกรอบแกรบอยู่นาน เราไม่ได้หลับลึกมาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา อากาศเย็นปลายฝนต้นหนาวทำให้การนอนบนแผ่นรองบาง ๆ กลายเป็นความสุขแปลก ๆ ที่อธิบายยาก ตีสองมีเสียงรถกระบะของเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจ เขาฉายไฟผ่าน ๆ แล้วขับไปต่อ กลับสู่ความมืดสนิทอย่างเดิม

เช้าตรู่ ฟ้ายังไม่สว่างดี เสียงนกเริ่มดังจากแนวป่า ขอบฟ้าค่อย ๆ แดงทีละน้อย จุดกาแฟด้วยดริปแบบพกพา น้ำร้อนจากเตาแก๊ส กลิ่นกาแฟคั่วอ่อน ๆ ดันคืนทั้งคืนออกจากหัวไหล่ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นก็เก็บของช้า ๆ ไม่รีบ เพราะรู้ว่าขาลงยังไงก็ต้องกลับไปด้วยความเร็วเท่าเดิมอยู่ดี

ก่อนกลับเราแวะหมู่บ้านเล็ก ๆ ตีนเขา กินข้าวซอยไก่กับไข่ลวก ร้านไม่มีป้ายชื่อ โต๊ะไม้เก่า ๆ คนท้องถิ่นนั่งคุยกันเรื่องฝนกับราคาปุ๋ยมันสำปะหลัง บนผนังมีปฏิทินเก่าค้างปี เจ้าของร้านถามมาจากไหน พอรู้ว่ามาจากกรุงเทพฯ แกบอกว่า “อย่ารีบกลับ เดี๋ยวรถติด” แล้วก็หัวเราะ โอเค ไม่รีบกลับก็ได้

กลับถึงที่พักในตัวเมืองช่วงบ่ายแก่ ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ แล้วนั่งจดบันทึกสั้น ๆ ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคืนเดียวบนดอย

สิ่งที่ได้จากทริปสั้น ๆ ครั้งนี้

  1. ความช้าไม่ได้น่ากลัว อะไรที่ทำช้า ๆ ด้วยมือของตัวเอง เช่น กางเต็นท์ ต้มน้ำ หั่นต้นหอม มันทำให้เราอยู่กับปัจจุบันแบบไม่ต้องฝืน
  2. การไปคนเดียวไม่ได้หมายความว่าอยู่คนเดียวเสมอ ระหว่างทางมีคนช่วยเหลือเสมอ ตั้งแต่ป้าเจ้าของร้านชำไปจนถึงคนเฝ้าลานที่มาช่วยรัดเชือกเต็นท์ให้แน่นขึ้น
  3. ท้องฟ้าดาวเต็มฟ้าไม่ได้มีทุกคืน การที่มันไม่สมบูรณ์แบบกลับทำให้เราเห็นคุณค่าของจังหวะฟ้าเปิดมากขึ้น
  4. การปิดโทรศัพท์สักคืนทำให้นาฬิกาชีวิตเขยิบกลับมาอยู่กับร่างกายตัวเองอีกครั้ง เช้าไม่งัวเงียเท่าเดิม ใจไม่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนวันทำงานที่ต้องสลับหน้าจอไปมา

งบประมาณคร่าว ๆ ของทริป (ต่อคน)

  • ค่ารถตู้เมือง–ปัว ไป–กลับ: 300–400 บาท
  • ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์วันละ 200 บาท (น้ำมันเติมเองประมาณ 80–100 บาท)
  • ค่าลานกางเต็นท์/อาบน้ำ: 50–100 บาท
  • ค่าอาหารตามมีตามเกิด: 300–500 บาท

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ทริปยิ่งใหญ่ ถ่ายรูปสวย ๆ ก็ไม่ได้มากมาย แต่กลับเป็นทริปที่ทำให้รู้สึกชัดเจนขึ้นเล็กน้อยว่า ที่เราเหนื่อย ๆ มาหลายเดือน ไม่ใช่เพราะงานแค่หนักอย่างเดียว แต่เพราะเราเร่งตัวเองตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวต่างหาก การหนีขึ้นไปนอนบนดอยคืนเดียวเลยกลายเป็นเหมือนการตั้งค่าเริ่มต้นใหม่ให้จังหวะชีวิต มันเตือนเบา ๆ ว่าเราทำอะไรได้ช้าลงโดยที่คุณค่าของงานไม่ได้หายไปไหนเลย บางทีงานกลับดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะหัวมันโล่งขึ้น

พอกลับกรุงเทพฯ วันจันทร์แรกหลังทริป เราลองเริ่มเช้าด้วยการเดินช้า ๆ จาก BTS ไปออฟฟิศ ไม่หยิบมือถือขึ้นมาดูระหว่างทาง (ก้อเผลอหยิบอยู่ครั้งนึงนะ แต่ก็เก็บกลับไป) ปรากฏว่าชั่วโมงแรกของวันทำงานนั้นยาวและนิ่งกว่าปกติอย่างน่าประหลาด ข้อความในไลน์ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้หนีหายไปไหน เพียงแต่เราเป็นคนเลือกเวลาอ่านมันเอง

อาจจะเป็นแค่ทริปธรรมดา แถมเขียนเล่าแบบบ้าน ๆ แต่สำหรับเรา คืนลานกางเต็นท์ที่น่านครั้งนี้เป็นการเตือนตัวเองเสียงดังว่า ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องเร็วเสมอไป และบางครั้งการถอยหลังครึ่งก้าวก็คือวิธีเดินหน้าแบบที่ใจยังอ่อนโยนกับตัวเอง… เพราะฉะนัน ครั้งหน้าที่เหนื่อยจนหูอื้อ ลองหนีไปนอนใต้ต้นสนซักคืนดูไหม