thammarith

รถทัวร์กลางคืนไปเชียงใหม่ เพลงลูกทุ่งข้างหูและกาแฟซอง

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ขึ้นรถรอบสี่ทุ่มครึ่ง เบาะ A12 เอนนิดเดียวพอ หลับไม่สนิทหรอก แต่ฟังเพลงลูกทุ่งจากลำโพงแถวท้าย ๆ ก็เพลินดีแบบงงๆ แอร์เย็นจัดจนต้องขอผ้าห่มเพิ่มอีกผืน คนขับเปลี่ยนเวรตอนตีสองที่นครสวรรค์ ลงไปยืดเส้นสั้น ๆ ซื้อโจ๊กถ้วยร้อนกับกาแฟซอง กลับขึ้นรถหลับๆ ตื่นๆ ต่อ ข้างๆ เป็นพี่ผู้ชายที่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตยีนส์หนาๆ อ่านหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่พับจนเป็นเส้นตรงกลางเหมือนพกติดตัวมานาน เสียงพลิกกระดาษแผ่วๆ ผสมกับเสียงเครื่องยนต์เป็นเพลงกล่อมของทั้งคัน

บนรถทัวร์กลางคืน อะไรหลายอย่างช้ากว่าปกติ แม้รถจะวิ่งค่อนข้างเร็ว ผมมักจะมองแสงไฟริมทางที่ไหลย้อนผ่านกระจกหน้าต่างเป็นเส้นสีเหลืองสลับขาว เหมือนหนังสติ๊กที่ยืดแล้วปล่อย ท้องฟ้าดำทึบแต่ไกลๆ ตรงขอบฟ้าจะมีความเทาเรื่อๆ แบบที่ไม่รู้ว่ามาจากอะไร อาจจะเป็นแสงจากเมืองที่ยังไม่นอน หรือความคิดของคนทั้งคันที่ยังไม่หลับ

ตีหนึ่งกว่าเด็กในรถเริ่มเงียบลง คนนั่งหน้าผมหันเก้าอี้เอนสุดจนแทบจะลงบนหัวเข่า ผมแอบยิ้มแล้วเลื่อนขาไปข้างๆ นิดนึง ไม่อยากปลุกเขา ถุงขนมปังจากร้านสะดวกซื้อที่ซื้อติดมือมาเป็นมื้อดึกถูกเก็บไว้ใต้เบาะ มือยังเย็นจากแอร์ แอบคิดในใจว่าเสื้อกันหนาวที่หยิบมาน่าจะหนากว่านี้อีกนิด แต่ถ้าหนากว่านี้ก็คงร้อนตอนลงรถ โอเค ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ ไม่เป๊ะทุกจุด

พักรถครั้งแรกประมาณตีสองที่นครสวรรค์ ไฟในสถานีสว่างจ้าเหมือนเวลากลางวัน ร้านขายของชำเต็มไปด้วยคนงัวเงียที่พยายามเลือกขนมแบบใช้สมองให้น้อยที่สุด ผมซื้อโจ๊กถ้วยร้อน รสชาติธรรมดาแต่ความอุ่นคือรางวัลใหญ่ และคว้ากาแฟซอง 3-in-1 ตามสัญชาตญาณพนักงานออฟฟิศ พอเติมน้ำร้อนแล้วกลิ่นมันตีขึ้นจมูกทันที หวานนำ แต่มันช่วยให้หัวเปิดขึ้นเล็กน้อยแบบไม่ต้องคิดมาก

เวลายืนยืดเส้นตรงข้างสถานี ผมชอบมองรถทัวร์แต่ละคันที่จอดเรียงกัน สีสัน ลวดลาย และชื่อสายที่เขียนไว้ด้านข้าง เมืองไทยมีความสวยงามแบบบ้านๆ ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเหล่านี้ ชื่อจังหวัดบนกระจกหน้ารถคันใหญ่ๆ ที่จอดข้างเราเขียนว่า “แม่สอด” ตัวอักษรสีขาวพร่าจากแสงนีออน ทำให้คิดถึงถนนที่ยังไม่เคยไปถึง และคนที่รออยู่ปลายทางที่เราไม่รู้จัก

ขึ้นรถอีกครั้ง ความเงียบกลับมาไว บางคนใช้เสื้อแจ็คเก็ตคลุมหน้า บางคนใช้หมวกปิดตา ผมหยิบหูฟังอินเอียร์ราคาถูกออกมาเสียบ เปิดเพลงบัลลาดเก่าๆ แบบไม่มีเนื้อร้องพอให้เสียงลมหายใจของตัวเองไม่ดังเกินไป พยายามนอนแต่ก็กลายเป็นแค่หลับๆ ตื่นๆ ตามจังหวะเบรคและเร่งเครื่อง ขณะที่ไฟริมทางไหลผ่านเป็นคลื่นเหมือนเดิม

รถเริ่มไต่ขึ้นเขาตอนตีสี่ ความรู้สึกเปลี่ยนทันที เสียงเครื่องยนต์ทุ้มขึ้นเล็กน้อย ความเร็วคงที่ เส้นไฟจากบ้านเรือนตามไหล่เขาเป็นเหมือนสร้อยไฟไขว้กัน ผมมองนานจนรู้สึกสงบขึ้นอย่างประหลาด อากาศในรถยังเย็นจัดแต่เหมือนร่างกายเริ่มคุ้น ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาอีกนิดจนเกือบถึงคอ ไม่ได้สบายอะไรหรอก แต่หัวเบาลงพอที่จะยิ้มให้ความมืดตรงหน้า

พอใกล้ถึงเชียงใหม่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากดำเป็นเทาอมฟ้า แล้วค่อยๆ ไล่ไปเป็นส้มบางๆ ที่ขอบฟ้าด้านขวา คนขับเปิดเพลงลูกทุ่งเบาๆ อีกครั้ง คราวนี้เป็นเพลงที่ผมเคยได้ยินตอนเด็กๆ ในบ้านต่างจังหวัดของญาติ โต๊ะไม้ยาว เสียงวิทยุทรานซิสเตอร์ และกลิ่นน้ำมันมวย พอมันลอยกลับมาในรถทัวร์คันนี้ จู่ๆ ก็เหมือนมีคนวางภาพถ่ายเก่าๆ บนตักโดยไม่บอกกล่าว

ถึงสถานีอาเขตประมาณตีห้า อากาศเช้าตรู่เย็นแห้งกว่าที่คิด ผมลงจากรถพร้อมคนอีกสิบกว่าชีวิตที่เดินเร็วๆ ไปยังจุดรับกระเป๋า เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มใสขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองอยากช้าลงนิดหน่อย เพื่อให้ร่างกายทันกับเมืองที่ตื่นช้ากว่า การเดินลากกระเป๋าไปทางป้ายสองแถวสีแดงเลยกลายเป็นการเดินเล่นหน้าหนาวระยะสั้นๆ ที่มีไอหายใจลอยออกมาขาวจางๆ

ขึ้นสองแถวไปที่ข้างกำแพงเมือง ค่ารถไม่แพง คนขับไม่รีบ ใช้วิธีรอคนให้เต็มคันแบบชาวเมืองจริงๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแผนที่แล้วปิดทันที คิดว่าลองปล่อยให้ตัวเองลงตามใจไหลไปสักป้ายสองป้าย แล้วค่อยเดินกลับเอาก็ได้ เช้าแบบนี้ไม่มีอะไรดีกว่าการเดินเอาอากาศเข้าปอดช้าๆ อีกแล้ว

ลงแถวประตูท่าแพ ร้านข้าวต้มปลาถ้วยเล็กๆ เปิดไฟส้มๆ รออยู่พอดี ผมนั่งกินอย่างเงียบๆ กับน้ำชาร้อนแก้วหนึ่ง ข้าวต้มปลาชิ้นเล็กๆ ย่อยง่าย เติมพลังได้แปลกๆ เหมือนร่างกายรับรู้ว่าคืนที่ผ่านมาเราเดินทางไกลและให้รางวัลเหมาะสม น้ำปลาพริกสองหยดกับขึ้นฉ่ายซอยทำให้น้ำซุปร้อนจัดตื่นแบบพอดี

ถ้าถามว่าชอบมั้ยรถทัวร์กลางคืน ผมคงตอบว่า มันไม่ได้สบายที่สุดหรอก แต่ความรู้สึกตอนเช้าถึงเมืองที่ยังไม่ตื่นดี แล้วนั่งสองแถวสีแดงเข้าเมืองนี่มันมีเสน่ห์แบบบ้านๆ ที่คิดถึงเสมอ มันเป็นพิธีกรรมเล็กๆ ของการเปลี่ยนฉากชีวิตจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง โดยไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องเลือกที่นั่งดีที่สุด ไม่ต้องได้กาแฟ single origin แพงๆ แค่กาแฟซองหวานๆ ที่คนขายกดน้ำร้อนให้ แค่นั้นพอให้หัวเปิดรับเช้าใหม่แล้ว

ผมจดไว้เผื่อครั้งหน้า: 1) หยิบผ้าพันคอผืนบางๆ ไปด้วย แอร์รถทัวร์บางคันคือฤดูหนาวจริงๆ 2) หาเพลงเพลย์ลิสต์ที่ไม่มีเนื้อร้องแต่ไม่ง่วงเกินไป เอาไว้กลบเสียงรอบๆ แบบไม่ต้องหลับ 3) พกธนบัตรใบย่อยไว้สำหรับสองแถวกับข้าวเช้า 4) เลือกละ เพราะตัวเลือกเยอะไปก็ทำให้เหนื่อยโดยไม่จำเป็น เมืองพาไปเองได้บ่อยกว่าที่คิด

เช้านั้นหลังข้าวต้ม ผมเดินผ่านกำแพงเมือง คนกวาดถนนสองคนกำลังคุยกันเรื่องฟุตบอลเมื่อคืน เสียงกวาดซ้ำๆ บนพื้นอิฐดังเป็นจังหวะที่แปลกจะไพเราะ วัดแถวนั้นตีระฆังเบาๆ อย่างมีระยะห่างพอดี ทุกอย่างเหมือนตั้งใจซ้อมมารอให้เรามาถึง ทั้งที่จริงๆ เขาอยู่ของเขาแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว เราเพิ่งมาเจอเฉยๆ

เดินต่อไปถึงตลาดเล็กๆ ที่เริ่มตั้งร้าน ผมซื้อสตรอว์เบอร์รี่ถุงเล็กมาหนึ่งถุง กัดคำแรกแล้วเปรี้ยวจี๊ด หัวเราะให้ตัวเองเบาๆ แล้วเดินไปหากาแฟร้อนแก้วเล็กๆ ปิดท้ายพิธีรถทัวร์กลางคืนด้วยอากาศเย็นๆ ที่พอดีสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ในเมืองที่ค่อยๆ ตื่นช้าๆ อย่างเชียงใหม่