สามวันสองคืนที่ตราด เกาะช้างนอกฤดู
วันก่อนเพื่อนส่งข้อความมาว่า “อยากไปทะเล แต่ขอแบบไม่ต้องแย่งกับใคร” เรานึกถึงตราดขึ้นมาทันที ภาพเรือเฟอร์รี่สีขาวๆ ที่อ่าวธรรมชาติ เสียงเครื่องยนต์ต่ำๆ และสายฝนที่กระทบผิวน้ำทะเลในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว มันมีความสงบที่ทะเลหน้าร้อนให้ไม่ได้ เกาะช้างในช่วงเงียบๆ มีความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งร้านที่ไม่ได้ทำเพื่อถ่ายรูปแต่ทำเพื่อคนในชุมชน ทั้งถนนที่ว่างจนได้ยินเสียงยางแตะพื้นถนนชัดเจน และทั้งบทสนทนาสั้นๆ กับคนเกาะที่ไม่รีบไปไหน เรายืมคำที่เคยอ่านจากหนังสือว่า “นอกฤดูคือฤดูของคนที่อยากฟังเสียงตัวเอง” แล้วก็เก็บกระเป๋าไป
เราออกจากกรุงเทพฯ ตอนตีห้าครึ่ง จัดกระเป๋าแบบเบาที่สุด เสื้อยืดตัวบาง กางเกงขาสั้นหนึ่งตัว กางเกงขายาวสำหรับขึ้นเรือที่ลมแรง เสื้อกันฝนแบบพับได้ ขวดน้ำ และรองเท้าแตะคู่ที่ใส่จนพื้นเริ่มบาง นั่งรถตู้จากเอกมัยไปตราด ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง คนบนรถมีไม่ถึงสิบคน ทุกคนเงียบเป็นพิเศษ เหมือนรู้กันว่าเช้านี้เป็นเช้าของการนอนต่อ เราก็หลับๆ ตื่นๆ พอถึงตัวเมืองตราดก็ลงไปรอจัมโบ้ไปท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ระหว่างรอได้กินก๋วยเตี๋ยวตลาดเช้า น้ำซุปหวานใสแบบบ้านๆ ปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหนึ่งจาน บรรยากาศมืดๆ ครึ้มๆ แต่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่ท่าเรือไม่มีคิวยาวอย่างที่ภาพจำ เคาน์เตอร์ขายตั๋วว่างจนคนขายมีเวลาชวนคุย เราถามว่าฝนตกแบบนี้คนยังมาเยอะไหม พี่เขายิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “ถ้าลูกทะเล เขามาหน้าฝนกันแหละ น้ำสวย ไม่ร้อน แต่อาจจะลมแรง” คำว่าลูกทะเลติดอยู่ในหัวเราตลอดทั้งทริป พอขึ้นเรือ เฟอร์รี่ค่อยๆ ออกจากฝั่ง เสียงคลื่นกระทบหัวเรือเบาๆ ท้องฟ้าสลับเทากับขาวเป็นชั้นๆ ภูเขาเขียวเข้มของเกาะช้างค่อยๆ ใหญ่ขึ้นจนเต็มกรอบตา เราเห็นร่องรอยของรีสอร์ตที่ปิดชั่วคราว ป้ายไม้ซีดจากแดดและฝน และสะพานไม้เล็กๆ ที่ทอดไปในน้ำราวกับเส้นด้าย
วันแรกเราเลือกพักที่หาดไก่แบ้ โรงแรมขนาดเล็กติดเนินเขา เงียบจนได้ยินเสียงนกในตอนบ่าย เจ้าของเป็นครอบครัวคนตราดแท้ที่กลับจากกรุงเทพฯ มาเปิดกิจการเล็กๆ เขาคุยแบบไม่รีบร้อน แนะนำว่าเย็นนี้ให้ลงไปตรงปลายหาด จะเห็นแสงสุดท้ายลอดเมฆลงมาเป็นเส้นๆ ถ้าโชคดีฝนจะซา ตอนบ่ายฝนเม็ดเล็กเริ่มโปรย เราเดินออกไปหากาแฟ ร้านเปิดไม่ครบหลายร้าน แต่ร้านที่เปิดมีควันคั่วกาแฟลอยออกมาจากหลังบ้าน กลิ่นหอมแบบขมลึก เราสั่งกาแฟดริปหนึ่งแก้วกับเค้กส้มที่หน้าตาธรรมดามากแต่รสชาติดีกว่าที่คาด พนักงานบอกว่าคนโลว์ซีซันส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยมาหน้าร้อนแล้วอยากเห็นอีกด้านหนึ่งของเกาะช้าง “ฝนทำให้เราเห็นสีเขียวจริงๆ ของเกาะ” เขาพูดแบบนั้น
พอฝนซาลงเราก็เดินเล่นริมทะเล น้ำทะเลวันฝนมักจะเป็นสีฟ้าเทา เนียนเหมือนผืนผ้า มองยาวๆ เห็นเส้นขอบฟ้าหายไปกับเมฆ เรานั่งบนทรายที่ชื้น ฟังเสียงคลื่นซัดเข้ามา เสียงลมปะทะใบสนทะเล และเสียงไกลๆ ของรถมอเตอร์ไซค์คันเดียวที่วิ่งผ่านถนนด้านหลัง ที่นั่งแบบนี้ถ้าเป็นหน้าร้อนคงทำไม่ได้ เพราะคนเยอะ เสียงเยอะ ความรู้สึกว่าทะเลเป็นของตัวเองหายไป ตอนเย็นแสงอาทิตย์โผล่มาให้เห็นเพียงไม่กี่นาที ทิ้งลำแสงโค้งลงมาที่ผิวน้ำเหมือนมีใครเปิดไฟฉายจากก้อนเมฆ เป็นภาพที่เรียบง่ายแต่เราชอบมาก เราเผลอถ่ายรูปเยอะเกินเหตุ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันสวยเพราะอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ในจอ
เช้าวันที่สองเราเช่ามอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ออกไปรอบเกาะ ถนนฝั่งตะวันตกคดเคี้ยว ชันเป็นช่วงๆ มีป้ายเตือนโค้งหักศอกหลายจุด ฝนตกปรอยๆ ทำให้พื้นลื่น เราขับช้าๆ แบบคนที่ยังไม่ชินเกาะ พอเลยคลองพร้าวไปก็มีช่วงทางที่ว่างมากจนเราได้ยินเสียงโซ่ล้อสะท้อนกับกระเป๋า เราแวะจุดชมวิวที่มองเห็นอ่าวเล็กๆ หลายอ่าว ต้นมะพร้าวยืนเฉียงให้ลมพัด ข้างๆ มีร้านน้ำมะพร้าวเจ้าเล็ก พี่คนขายเล่าว่าช่วงฝนจะมีหมึกเยอะ ชาวบ้านออกเรือกลางคืนกัน เขาชี้ไปที่แนวไฟสีเขียวบนทะเลไกลๆ แล้วบอกว่า “นั่นเรืออวนปลาหมึก ถ้าฝนไม่หนักคืนนี้จะเห็นหลายลำ” เราพยักหน้าแบบเด็กที่ทำการบ้านไม่ทันแต่ยังอยากได้คะแนน
ช่วงสายเราเข้าไปในชุมชนบ้านสลักเพชร ตรงนี้เป็นอีกโลกหนึ่งของเกาะช้างที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเห็น บ้านไม้ยกพื้นบนน้ำ เรือหางยาวผูกไว้หน้าบ้าน แผงตากปลาแห้งเรียงอย่างตั้งใจ กลิ่นทะเลผสมกลิ่นปลาแห้งและควันไฟจางๆ จากครัวหลังบ้าน มีป้ายบอกโรงทำปลาหมึกแห้งเล็กๆ เราเดินเข้าไปก็เจอป้าๆ นั่งคุยกันอยู่ สามสี่คนช่วยกันบั้งหมึก ป้าคนหนึ่งเงยหน้ามาถาม “มาหาอะไรลูก” เราบอกอยากดูได้ไหม ป้ายิ้ม “ดูได้ แต่ระวังลื่นนะ พื้นมันเปียก” เรายืนดูมือที่ทำงานเร็วและแม่น หมึกถูกวางเรียงบนตะแกรง ลมทะเลพัดให้แห้งเร็วขึ้น ป้าบอกว่าหน้าฝนถ้าวันไหนแดดไม่ดีต้องย้ายไปตากในโรงควัน เราถามว่าขายที่ไหนบ้าง ป้าบอก “ขายให้คนในเกาะบ้าง ส่งฝั่งบ้าง แล้วก็มีคนเมืองมาซื้อกลับ” คำว่าเมืองในประโยคนั้นหมายถึงกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อ
เรากินกลางวันที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมคลอง เป็นข้าวผัดปูกับต้มยำปลากะพงที่เผ็ดแบบไม่ยอมแพ้ เสียงฝนตกสลับหยุดทำให้เห็นผืนคลองเป็นลายเส้นซ้อนทับ ไม่ได้ถ่ายรูปอะไร นั่งคุยเรื่องปลาเรื่องเรือกับเจ้าของร้าน เขาบอกว่าคนที่อยู่เกาะจริงๆ จะชินกับการมีทุกอย่างครบพอประมาณ ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องดัง แต่อยู่ได้ ช่วงไฮซีซันก็ทำงานหนัก ช่วงโลว์ก็ซ่อมเรือ ซ่อมบ้าน ทำของตากแห้ง เก็บเงินก้อนเล็กๆ เราคิดถึงชีวิตในเมืองที่จับเวลาแทบทุกอย่าง เปรียบเทียบกับตรงหน้าที่วัดจากฝนและลมมากกว่าเวลาในนาฬิกา
บ่ายนั้นเราตั้งใจไปน้ำตกคลองพลู ทางเข้าปิดบางส่วนเพราะฝน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่ายังเดินได้ แค่ระวังพื้นลื่น เราถอดรองเท้าแตะแล้วเดินเท้าเปล่า เสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล โขดหินชื้นสะท้อนแสง บางช่วงมีปลาตัวเล็กๆ ว่ายหลบเท้าเรา น้ำเย็นจนชา แต่ความเย็นนั้นไม่ได้กัดเรา มันค่อยๆ ซึมเข้ามาเหมือนบอกให้ช้าลงอีก เรานั่งที่ก้อนหิน มองน้ำกระทบแอ่งวนซ้ำๆ เหมือนเส้นประโยคที่ถูกเขียนซ้ำจนอ่านออกเป็นเสียงในหัว คนน้อยมาก มีครอบครัวหนึ่งกับคู่รักอีกคู่ที่นั่งห่างๆ กัน ทุกคนเหมือนรู้กติกาโดยไม่ต้องพูดว่าที่นี่ควรให้ความเงียบเป็นใหญ่
คืนที่สองเราเลือกกินข้าวที่ร้านชาวบ้านแถวไก่แบ้ เมนูมีไม่เยอะ ผัดกะเพราทะเล ไข่เจียวหอยนางรม แกงส้มชะอมปลากระบอก รสชาติซื่อตรง ไม่ประดิษฐ์จาน เจ้าของร้านเล่าว่าหน้าฝนจะมีนักตกปลามาเช่าบ้านเป็นสัปดาห์ อยากอยู่ให้ใกล้ทะเลโดยไม่ต้องเจอคนเยอะ เราเผลอพยักหน้าแรงไปหน่อยจนแกหัวเราะ “ชอบเงียบๆ เหมือนกันใช่ไหม” ใช่ เราชอบเงียบๆ แบบที่ยังได้ยินชีวิตของคนอื่นอยู่บ้าง ไม่ใช่เงียบจนไม่มีอะไรเลย
เช้าวันสุดท้ายฝนตกหนักตั้งแต่ตีห้า หลังคาห้องเป็นสังกะสี เสียงฝนกระทบดังเป็นจังหวะหนาแน่น เราตื่นมาแล้วจุดน้ำร้อนทำกาแฟซอง นั่งที่ระเบียงมองฝนซัดทะเลจนเป็นฟองขาว ไม่รีบเก็บของเพราะรู้ว่าเรือไปกลับทั้งวัน เมื่อฝนซา เราขี่มอเตอร์ไซค์คืนร้าน เติมน้ำมันพอประมาณแล้วแล่นไปช้าๆ เพื่อเก็บภาพสุดท้ายของถนนเปียกแวววาวและเงาต้นไม้ที่ยาวกว่าปกติ เราหยุดที่จุดเดิมที่มองเห็นอ่าว แล้วเห็นเรืออวนปลาหมึกสองลำที่ยังไม่ดับไฟสีเขียว หมอกบางๆ ลอยคลุมยอดเขา กล้องในมือสะอึกเพราะละอองฝน เราเก็บมันเข้ากระเป๋าแทนที่จะฝืนถ่ายต่อ
ก่อนขึ้นเรือกลับเราแวะตลาดมืดๆ ที่ท่าเรือ ซื้อปลาหมึกแห้งแบบที่ป้าบอกเมื่อวานสองแผ่น ซื้อกะปิหนึ่งกระปุก กลิ่นแรงจนต้องห่อซ้อนสองชั้น แม่ค้าถามว่าอยู่ไหน เราบอกกรุงเทพฯ แม่ค้ายิ้ม “ไปบอกเพื่อนๆ ว่าหน้าฝนก็มาได้ ทะเลไม่กัดใครหรอก” ประโยคนั้นติดอยู่ในหัวระหว่างเรือค่อยๆ ถอยจากเกาะ น้ำทะเลวันนี้นิ่งกว่าวันแรก แดดโผล่มาบางช่วงจนมองเห็นสีฟ้าชัดขึ้น เรานั่งเงียบ ไม่ได้ถ่ายรูป ไม่ได้เปิดเพลง ปล่อยให้เสียงเรือที่สั่นอยู่ใต้เท้าเป็นเสียงประกอบตอนจบ
กลับถึงฝั่ง รถตู้รอบบ่ายมีคนนั่งมากขึ้นกว่าตอนขามา เสียงคุยกันเบาๆ เรื่องฝน เรื่องทะเล เรื่องตั๋วรถ เรื่องปิดเทอม เราเอนตัวกับเบาะที่ยังชื้นนิดๆ จากคนก่อนหน้าแล้วหลับไป ตื่นอีกทีที่บางนาตราด รถติดแบบคุ้นเคย ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ตอนเย็นเป็นสีเทาที่ต่างจากตราดอย่างบอกไม่ถูก เรารู้สึกว่าตัวเองมีกลิ่นกะปิติดมาแผ่วๆ กับทรายในขอบกระเป๋า และความเงียบอีกแบบที่อยากเก็บไว้ให้นานที่สุด
หลายคนบอกว่าไปทะเลต้องไปหน้าร้อน เราไม่เถียง หน้าร้อนมีพลัง มีสี มีคน แต่หน้าฝนมีพื้นที่ให้คิด มีการเคลื่อนไหวช้าๆ ที่ทำให้เห็นรายละเอียด ความชื้นทำให้สีเขียวเข้มขึ้น เสียงฝนทำให้ใจเบาลง ประโยคเล็กๆ จากคนที่ท่าเรือทำให้เราอยากกลับไปอีก “ถ้าลูกทะเล เขามาหน้าฝนกันแหละ” เราไม่ใช่ลูกทะเลหรอก แต่ทริปนี้ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนที่รักทะเลถึงยอมให้มันเปียกหัวใจได้บ่อยๆ แบบนี้
ทริปสามวันสองคืนนี้ไม่ได้มีไฮไลต์ใหญ่โต ไม่มีรายการเช็คลิสต์ครบถ้วน แต่มีชั่วโมงที่ยาวขึ้นจากเสียงฝน มีข้าวผัดปูธรรมดาที่อร่อยตอนหิว มีบทสนทนากับคนที่ไม่มีชื่อในเอกสารท่องเที่ยว และมีภาพเรือสีเขียวลำเล็กๆ ที่ยืนอยู่ไกลๆ ในสายตา กำลังบอกเราว่าเกาะช้างนอกฤดูก็ยังเป็นเกาะช้างที่คุ้มค่าจะไปเสมอ