thammarith

ปั่นกลางคืนรอบเกาะรัตนโกสินทร์

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

คืนวันอังคารปลายตุลาคม ผมเข็นจักรยานออกจากคอนโดตอนสามทุ่มครึ่ง ตั้งใจจะปั่นรอบเกาะรัตนโกสินทร์แบบช้า ๆ ไม่รีบ ไม่แข่ง เลือกเสื้อสะท้อนแสงไว้ตัวหนึ่ง ไฟหน้า–หลังชาร์จเต็ม หมวกกันน็อก แมสผ้าบาง ๆ และเงินสดนิดหน่อยเผื่อแวะกินก๋วยเตี๋ยวกลางดึก แผนไม่มีอะไรมากไปกว่า “ปั่นไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยดูว่าเมืองจะเล่าอะไรให้ฟัง”

ผมเริ่มจากถนนสามเสน ลมเย็นพัดสวนทางมาแบบเป็นมิตร เสียงรถยนต์น้อยกว่าตอนหัวค่ำอย่างเห็นได้ชัด ไฟถนนสีส้มยาวต่อเนื่องเหมือนเส้นด้ายที่คอยชี้ทางให้จักรยานสีเทาของผมเลี้ยวไปยังสะพานพระรามแปด ผมชอบจังหวะการขึ้นสะพานตอนดึก ๆ เพราะทางชันไม่มากและไม่มีรถบัสใหญ่บีบแตรไล่ วิวแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนสวยแบบเงียบ ๆ เรือข้ามฟากจอดนิ่งเหมือนกำลังหลับ ผมชะลอความเร็วลงนิดหนึ่งเพื่อมองไฟสะท้อนน้ำให้เต็มตา

ลงสะพานฝั่งพระนคร ผมเลี้ยวเข้าถนนพระอาทิตย์ แถบนั้นตอนกลางคืนเหมือนเมืองอีกเมือง ร้านหลายร้านปิดไฟเหลือแต่ไฟหรี่หน้าบาร์สองสามแห่ง บางโต๊ะยังมีเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ลอยมาตามลม ผมหยุดเติมลมยางที่หน้าร้านจักรยานเก่าแก่ที่หน้าร้านติดป้าย “ปิดวันจันทร์” แบบตัวหนังสือเล็ก ๆ หยุดดื่มน้ำแล้วปั่นต่อผ่านป้อมพระสุเมรุ แมวสามสีตัวหนึ่งนั่งเลียขากลางฟุตบาทเหลียวตามไฟท้ายจักรยานเหมือนงง ๆ ว่าสิ่งนี้คืออะไร

ผมเลี้ยวเข้าถนนราชดำเนินกลางผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไฟประดับบนต้นไม้ข้างถนนทำให้ถนนดูกว้างและใจดีขึ้นอย่างประหลาด ไม่มีเสียงฮอร์นยาว ๆ มีแต่เสียงยางบดกับพื้นถนนและโซ่ที่หมุนเรียบ ๆ ตอนผ่านหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่มางานกลางแจ้งที่นี่ คนเยอะจนต้องจูงจักรยานเดิน แต่คืนนี้โล่งกว่ามาก เหมือนกรุงเทพฯ ยอมปล่อยตัวเองลงเกียร์ว่างชั่วคราว ผมรู้สึกว่าตัวเองหายใจยาวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

สามแยกผ่านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ผมชะลอให้แท็กซี่คันหนึ่งผ่านไปก่อน ก่อนเลี้ยวเข้าไปทางศาลหลักเมือง บริเวณนั้นมีตำรวจจราจรยืนอยู่สองนาย พอเห็นไฟหน้ากับเสื้อสะท้อนแสงก็พยักหน้าให้ผ่าน คงชินกับนักปั่นที่มาวนรอบนี้ ผมลัดเข้าซอยเล็ก ๆ ไปโผล่ที่เสาชิงช้า เสียงจักรยานผ่านถนนหินให้ความรู้สึกโป๊กเป๊ก ๆ คล้ายปั่นอยู่เมืองยุโรปแบบงง ๆ ร้านขนมปังเจ้าดังปิดแล้ว แต่ยังมีร้านเกาเหลาเลือดหมูเปิดอยู่ ผมกะว่าขากลับค่อยแวะ

ช่วงสี่แยกคอกวัว ผมตัดสินใจเลี้ยวไปทางถนนจักรพงษ์เพื่อออกไปท่าพระจันทร์ ปกติถนนเส้นนี้ตอนกลางวันคนแน่นจนปั่นลำบาก แต่ตอนนี้แทบไม่มีใคร นอกจากวินที่กำลังซ่อมรถอยู่หน้าปากซอย บางร้านตั้งเก้าอี้พับเรียงเป็นแถว ผมจินตนาการถึงนักศึกษาที่เพิ่งสอบเสร็จแล้วนั่งคุยกันตรงนี้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เมืองเหมือนกำลังถ่ายเทเวรจากคนกลางคืนสู่คนเช้าอย่างนุ่มนวล

ลงไปริมแม่น้ำที่ท่าพระจันทร์ ลมแรงขึ้นนิดหน่อย ผมจอดรถมองโพดำเรือยาวลอยไกล ๆ มีเรือลำเล็กแล่นผ่านทิ้งคลื่นขาวค่อย ๆ ม้วนเข้าหาฝั่ง เสียงน้ำกระทบเขื่อนคอนกรีตดังแปะ ๆ แสงจากฝั่งธนกระพริบอยู่เป็นทิวเหมือนดาวเรียง คุณลุงยามที่ศาลาริมน้ำชะโงกหน้ามาถามว่า “ปั่นดึก ๆ ระวังรถนะหนู” ผมยิ้มและพยักหน้า คำเตือนง่าย ๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

ผมย้อนกลับไปทางถนนตะนาว ลัดสู่บางลำพู ผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่ยังเปิดอยู่หนึ่งร้าน กลิ่นน้ำซุปต้มเครื่องเทศลอยมากับลมจนท้องร้อง แต่ยังไม่อยากหยุด ผมลากขึ้นไปถึงสะพานพระปิ่นเกล้าแล้ววกเข้าเส้นหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เสียงพระสวดทำนองสรภัญญะเบา ๆ ลอยผ่านกำแพงมาเหมือนเสียงจากอีกโลกหนึ่ง ผมชะลอและกดเกียร์เบาลง ให้ล้อเคลื่อนไปช้า ๆ เพื่อฟังให้เต็มที่

ช่วงดึกใกล้เที่ยงคืน ผมออกจากเส้นวังบูรพาไปโยธา ใกล้แยกแม้นศรี มีหมากัดไล่จักรยานอยู่บ่อย ๆ ผมเตรียมไฟฉายไว้กะพริบและรักษาระยะห่าง โชคดีคืนนี้ไม่มีเจ้าถิ่นตัวไหนสนใจ ระหว่างนั้นมีรถตำรวจสายตรวจผ่านมาหนึ่งคัน ชะลอถามว่า “โอเคไหม” ผมยกนิ้วโป้งตอบ เขาพยักหน้าก่อนขับต่อ ในเมืองที่มักจะโดนบ่นว่าหยาบกระด้าง คืนแบบนี้กลับเต็มไปด้วยท่าทีอ่อนโยนเล็ก ๆ มากมาย

ที่สี่แยกเฉลิมกรุง ผมหยุดกินน้ำอีกครั้ง มือเริ่มเย็นเล็กน้อยแต่หัวโล่งสบาย อุณหภูมิกลางคืนช่วยให้การปั่นเป็นเรื่องสนุกแบบไม่ต้องฝืนร่างกาย ผมคิดถึงคำถามที่ใครหลายคนเคยถามว่า “ปั่นกลางคืนปลอดภัยไหม” คำตอบของผมคือ ปลอดภัยได้ ถ้าเราเตรียมตัวมากพอและรู้จักเส้นทางของตัวเอง เลี่ยงถนนใหญ่ช่วงรถเมล์หลายสาย เลือกเส้นย่อยที่มีร้านค้า ยาม หรือวินอยู่บ้าง ใส่ไฟให้สว่างเหมือนรถเล็กคันหนึ่ง และสำคัญที่สุดคือไม่ดื้อ ไม่จับหูฟังสองข้าง ปล่อยประสาทสัมผัสให้ทำงานเต็มที่

ผมค่อย ๆ ปั่นกลับไปทางสะพานพระรามแปดอีกครั้ง คราวนี้ลมแรงขึ้นเพราะขึ้นสะพานด้านเปิดน้ำ เรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งเคลื่อนช้า ๆ กลางน้ำ ไฟหัวเรือสีขาวชี้มาข้างหน้าเหมือนดวงตา ผมมองแล้วรู้สึกสงบแปลก ๆ เหมือนเมืองกำลังหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ล้อจักรยานหมุนตามจังหวะนั้นโดยไม่ต้องเร่งไม่ต้องผ่อนมากเกินไป

ขาลงสะพาน ผมตัดสินใจปิดท้ายด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือตรงบางลำพู ร้านเล็ก ๆ ที่เปิดถึงตีหนึ่ง น้ำซุปเข้มข้นแบบไม่หวานเกิน เส้นหมี่นุ่มกำลังดี โรยถั่วบดหอม ๆ หน่อยเดียวก็พอ แม่ค้าถามว่า “ปั่นมาจากไหน” ผมตอบไปว่า “วนรอบเกาะครับ” เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ดีนะ ออกกำลังแล้วค่อยกิน” เราหัวเราะพร้อมกันแบบง่าย ๆ น้ำซุปชามร้อนตอนเที่ยงคืนคือรางวัลที่น่ารักมากสำหรับคนเมืองที่ยังอยากฟังเสียงล้อกับถนนมากกว่าเสียงนาฬิกา

ผมปั่นกลับห้องอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าร้านโชห่วยที่กำลังปิดประตูเหล็กเสียงดังแกร๊ก ๆ แมวตัวเดิมย้ายไปนอนบนตู้ไฟฟ้า แสงไฟนีออนกระพริบหนึ่งครั้งก่อนดับ มันเป็นสัญญาณว่าคืนนี้ของย่านนี้กำลังปิดฉาก ผมหยุดที่สี่แยกสุดท้าย รอไฟแดงอยู่คนเดียว ถนนเงียบจนได้ยินเสียงใบไม้ถูพื้น เมื่อไฟเขียว ผมออกตัวเบา ๆ แล้วรู้สึกขอบคุณร่างกายที่ยังพอมีแรงพาผมและจักรยานคันนี้ไปพบเมืองในเวอร์ชันที่น้อยคนจะเจอ

กลับถึงบ้าน ผมวางจักรยานพิงผนัง ถอดถุงมือ ล้างหน้า แล้วนั่งจดบันทึกเส้นทางคร่าว ๆ เผื่อจะชวนเพื่อนมาปั่นอีกรอบ วงรอบคืนนี้ไม่ยาวมาก แต่ได้คุยกับเมืองเยอะกว่าหลายเดือนรวมกัน ผมเขียนข้อสังเกตเล็ก ๆ ว่า “กลางคืน เมืองใจดีขึ้นถ้าเราใจดีด้วย” และ “อย่าลืมพกไฟสำรองกะทัดรัด” แล้วก็วงเล็บไว้เล่น ๆ ว่า “แมวหน้าป้อมพระสุเมรุน่าจะเป็นเจ้าถิ่นจริง ๆ”

การปั่นจักรยานรอบเกาะรัตนโกสินทร์กลางคืนไม่ได้โรแมนติกเสมอไป บางครั้งเจอฝุ่น เจอเสียงดัง เจอถนนซ่อม แต่ทั้งหมดรวมกันแล้วคือความจริงของเมืองที่เรายังอยากอยู่ด้วย ผมปิดสมุดและดับไฟ พรุ่งนี้เมืองจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่คืนนี้ ผมได้อยู่กับมันแบบพอดีแล้ว