รถไฟด่วนกลางคืนลงใต้ ตั๋วชั้นสองพัดลม และหน้าต่างที่เปิดได้
เราเลือกตั๋วชั้นสองพัดลมไม่ใช่เพราะโรแมนติกกับอดีต แต่เพราะอยากเปิดหน้าต่าง อยากให้ลมจริงปะทะหน้า อยากได้กลิ่นทุ่งที่ผ่าน อยากฟังเสียงรางแบบไม่ผ่านฟองโฟมของเครื่องปรับอากาศ ตั๋วขบวนด่วนกลางคืนออกจากหัวลำโพงเวลา 17:05 ถึงสุราษฎร์ธานีเช้าตรู่ เรามาถึงสถานีก่อนเวลาชั่วโมงหนึ่งเพื่อจะได้เดินดูป้าย แผงหนังสือ และคนลากกระเป๋า หัวลำโพงตอนเย็นสวยกว่าที่จำได้ แสงผ่านหลังคากระจกลงมาเป็นเส้นเฉียง คนรุ่นใหม่ถ่ายรูป คนรุ่นเก่านั่งเงียบรอขบวนหน้าที่นั่งประจำ แม่ค้าขายข้าวกล่องตะโกนชื่อกับข้าวที่ใส่อยู่ในถุงใส เราซื้อข้าวหมูทอดหนึ่งกล่องกับน้ำเปล่า แล้วขึ้นตู้เมื่อประกาศเปิดทาง
ตู้พัดลมเบอร์ 7 กลิ่นแป้งฝุ่นจางๆ เรียงผสมกับกลิ่นเหล็กและไม้เก่า เบาะหุ้มหนังสีเขียวเข้มที่ยังอยู่ในสภาพดีพอ ตัวพนักพิงตรงจนกลัวหลังตัวเองจะกรีดร้องกลางดึก พัดลมเพดานวงใหญ่หมุนอย่างซื่อสัตย์ เสียงดังแบบที่คงไม่ผ่านข้อกำหนดเสียงรบกวนของใครสักหน่วยงานในยุคนี้ แต่เรารู้สึกดีที่ได้ยินมันชัด ๆ เหมือนมีกลไกใจดีอยู่เหนือหัว เราวางกระเป๋าเป้บนชั้นวาง เปิดหน้าต่างครึ่งบานให้ลมเข้า รู้เลยว่าคืนนั้นจะไม่หนาว แต่จะเหนียวแบบยอมรับได้
ขบวนเริ่มเคลื่อนออกจากหัวลำโพงช้าๆ เสียงล้อสัมพันธ์กับรอยต่อรางเป็นจังหวะที่เราอยากจำไว้ เวลาใดที่เหนื่อยกับการต้องอยู่บนโลกที่ทุกอย่างไหลลื่นจนลืมว่าพื้นมีรอยต่อ เสียงนี้ทำให้เรานึกถึงการเดิน การหยุด การไปต่อ รถไฟผ่านย่านตลาดน้อยที่กลิ่นยางและโลหะเผาแรง เราเห็นคนบนสะพานลอยหยุดดูขบวนรถ รู้สึกว่าในช่วงเสี้ยวนาทีที่สายตาบรรจบกัน เราเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของเมือง
เราหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่ลมที่พัดเข้าหน้าต่างชวนให้เราวางมันลง เรามองท้องฟ้าที่เริ่มไล่สีจากฟ้าอ่อนไปส้ม แล้วกลายเป็นม่วง น้ำเสียงพ่อค้าเร่เดินผ่าน “น้ำ อาหาร เครื่องดื่ม ข้าวกล่อง” สลับกับเสียงพนักงานตรวจตั๋วที่พูดสุภาพแต่ตรง เราเริ่มคุยกับคนข้างๆ ชายวัยยี่สิบปลายๆ ที่จะไปลงชุมพรกลับบ้าน เขาเล่าว่าทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ รับเหมางานเล็กๆ ช่วงนี้เจอฝนบ่อย งานล่าช้า เขาหัวเราะว่า “นอนบนรถไฟบางทีก็ดีกว่านอนหอ” เพราะลมพัดตลอด เราเล่าเรื่องงานออฟฟิศ เขาฟังแล้วพยักหน้าไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เราหัวเราะด้วยกันตอนพูดถึงเสียงพัดลมที่ดังจนต้องตะโกนคุย
พอถึงนครปฐม พระปฐมเจดีย์สีทองโผล่มาทักทางซ้ายมือเล็กๆ ก่อนหายไปเหมือนคนรู้จักที่เดินสวน การขายของในขบวนเริ่มคึกคัก เราซื้อข้าวเหนียวสังขยาและน้ำอัดลมรสส้มหนึ่งกระป๋อง สายลมเริ่มอุ่นขึ้นเมื่อผ่านทุ่งข้างทาง กลิ่นดินชื้นหลังฝนทำให้หัวใจเบาแบบไม่ต้องพยายาม พอแสงหมดเราปิดหนังสือแล้วเอนหลัง เข่าเริ่มบอกให้ปรับท่า เราหยิบผ้าขาวบางมาคลุมไหล่กันลม ฝั่งตรงข้ามมีครอบครัวเล็กๆ พ่อแม่ลูกสาววัยประถม ลูกถามคำถามตลอดเวลา พ่อแม่ตอบแบบไม่หงุดหงิด เราคิดว่าเสียงแบบนี้แหละที่อยากให้คงอยู่บนรถไฟ ไม่ใช่เสียงโฆษณา
หัวค่ำรถหยุดยาวที่ราชบุรีเพราะรอหลีกขบวน เราเดินลงไปเหยียบพื้นชานชาลาเพื่อยืดขา ครัวซองต์จากร้านเล็กๆ บนชานชาลาหอมแปลกๆ เมื่อกินกับอากาศชื้น เราคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งแถวถัดไป เธอเป็นครูอัตราจ้างที่กำลังย้ายโรงเรียน เธอเล่าเรื่องเงินเดือนที่ต้องรอหลายเดือนกว่าเข้าบัญชี และความผูกพันกับเด็กๆ ที่สอน เราฟังแล้วเงียบไปนิดหนึ่ง ไม่ได้มีคำปลอบอะไรดีๆ แต่บอกว่า “ขอให้ที่ใหม่ใจดี” เธอยิ้มแล้วขึ้นตู้พร้อมเราตอนรถเป่าปู๊นเรียก
ตอนเกือบทุ่มครึ่ง พนักงานดับไฟในตู้บางส่วน เหลือไฟสลัว เราหยิบเสื้อกันหนาวบางๆ มาคลุมทับผ้าขาวบางลมยังพัด แต่หวานลง เราหลับๆ ตื่นๆ ไปกับเสียงรางและเสียงพัดลม กระเป๋าคนข้างๆ หล่นจากชั้นวาง เราช่วยเขาหยิบขึ้น เขายกมือไหว้เบาๆ บทสนทนาสั้นๆ กลางคืนแบบนี้มีค่าน่าประหลาด เราเคยเห็นคนตีกันเพราะเรื่องที่นั่งบนรถเมล์ แต่บนรถไฟคืนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย
กลางดึกเราแวะเข้าห้องน้ำ กลิ่นไม่ดีนักแต่สะอาดพอ เรานึกถึงรถไฟแอร์ใหม่ที่ห้องน้ำแน่นหนาและสว่างกว่า แต่หน้าต่างล็อกแน่นจนเรามองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาตัวเองในกระจก ต่างกันคนละโลก เรากลับมาที่นั่งแล้วลองเอนจนสุดเท่าที่เบาะจะให้ ช่วงหนึ่งเราฝันว่ารถไฟวิ่งลงทะเล แล้วตื่นขึ้นมาเพราะลมแรงพัดผมเข้าหน้า หัวเราะกับตัวเองเบาๆ ว่าเราน่าจะชอบลมมากกว่าที่คิด
ตีสี่กว่าๆ เราตื่นมาเพราะหนาวนิดๆ และเพราะแสงแรกเริ่มมา เราเปิดหน้าต่างเพิ่มอีกหน่อย ลมตีหน้าจนตาแห้งแต่ใจตื่น น้ำค้างเกาะตามทุ่งหญ้าเป็นประกาย ต้นตาลสูงเรียงไปจนสุดขอบฟ้า เราเห็นไฟจากบ้านเกษตรกรบางหลังที่ตื่นก่อนฟ้า ขบวนผ่านสะพานยาวเหนือคลองที่น้ำยังนิ่งเหมือนกระจก ความรู้สึกตอนนั้นคือเราโชคดีที่ยังมีรถไฟ แบบนี้ให้เลือกในประเทศนี้ เรายกกล้องขึ้นถ่ายรูปเดียวแล้วเก็บ เพราะรู้ว่าไม่มีทางสวยเท่าอยู่ตรงหน้า
ถึงสุราษฎร์ฯ เช้าเราไม่รีบลง รอให้คนที่ต้องเชื่อมต่อรถบัสและรถตู้ไปเกาะสมุยลงก่อน เราหันไปบอกลาคนข้างๆ เขายกมือไหว้แล้วบอกว่า “โชคดี” เราตอบกลับแบบเดียวกัน แล้วยกกระเป๋าลงจากตู้ เดินช้าๆ ไปตามชานชาลาที่มีรถเข็นข้าวต้มปลา สั่งชามหนึ่งพร้อมปาท่องโก๋สองชิ้น นั่งกินช้าๆ ให้ความอุ่นไหลลงท้อง เหนื่อยแบบสุขที่หาไม่ง่าย เราไม่ได้หลงรักความไม่สะดวกของตู้พัดลม แต่คืนนี้มันสอนให้เรารู้ว่าความสะดวกไม่ได้เท่ากับความสุขเสมอไป
ถ้าใครถามว่าอยากให้รถไฟไทยเป็นยังไง เราคงตอบว่า อยากให้มีทางเลือก ทั้งแอร์ที่เงียบ สะอาด และรวดเร็ว สำหรับวันที่ต้องไปให้ทัน และพัดลมที่เปิดหน้าต่างได้ สำหรับวันที่อยากฟังเสียงรางจริงๆ อยากคุยกับคนจริงๆ อยากได้กลิ่นทุ่งและกลิ่นห้องน้ำที่พอรับได้ จริงใจต่อกันหน่อย รถไฟแบบนี้ยังมีบทบาทของมันเสมอ ไม่ได้เพราะโรแมนติก แต่เพราะมนุษย์