ปั้นดินครั้งแรก จานเบี้ยว ๆ ที่อยากใช้ทุกวัน
เราเล็งคลาสปั้นดินมานาน แต่ตลอดปีที่แล้วก็ผลัดไปเรื่อย ๆ ด้วยข้ออ้างเดิม ๆ ว่าไม่มีเวลา จนต้นปีนี้ตัดสินใจจองคลาสวันอาทิตย์แบบ 3 ชั่วโมง สตูดิโออยู่ชั้นล่างของตึกเก่าแถวสะพานควาย กลิ่นดินเปียกผสมกลิ่นสบู่ล้างมือและกลิ่นกาแฟจากร้านข้าง ๆ ลอยมาแตะก่อนเปิดประตูเข้าไป ครูผู้สอนยิ้มแล้วชี้ให้ไปนั่งที่แป้นหมุนเบอร์หก แป้นโลหะวงกลมเงา ๆ ตั้งอยู่บนแท่นสูงระดับเข่า มีถังน้ำเล็ก ๆ ผ้าเช็ดมือ และเครื่องมือไม้เล็ก ๆ วางเรียงไว้
คลาสเริ่มจากการคุยสั้น ๆ ว่าคิดอยากทำอะไรบ้าง บางคนอยากทำแก้วกาแฟ บางคนอยากทำแจกัน ส่วนเราอยากทำจานแบน ๆ ใช้กินข้าวที่บ้านสักสองใบ ครูบอกว่าเริ่มจาก “เซ็นเตอร์ริ่ง” ก่อน คือทำให้ดินอยู่ตรงกลางแป้นอย่างแท้จริง ถ้าไม่อยู่ตรงกลาง ต่อให้ออกแรงยังไง ของก็จะวอกแวกไปมาแล้วพังตอนท้าย เราพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่พอเอาจริง ๆ มือกลับสั่นนิด ๆ ตั้งแต่ดินเริ่มหมุน
ครูสาธิตโดยวางดินก้อนขนาดกำหมัดลงบนแป้น ชุบน้ำจนลื่น แล้วใช้ส้นมือทั้งสองข้างผลักเข้าหาศูนย์กลาง พร้อมกดลงเล็กน้อย จังหวะหายใจต้องช้าและยาว เขาบอกว่า “อย่าดัน ให้ประคอง” ประโยคง่าย ๆ แต่เปลี่ยนวิธีใช้แรงของเราไปทันที พอเราเริ่มทำเองครั้งแรก ดินดิ้นหนีสลับซ้ายขวา น้ำกระเด็นเลอะหน้า แอบหัวเราะกับตัวเองแต่ก็พยายามทำต่อ ท้ายที่สุดก้อนดินเริ่มนิ่งอย่างชัดเจน เสียงแป้นหมุนกลายเป็นเสียงลมหายใจของห้องที่ไหลไปพร้อมมือเรา
จากนั้นเป็นการ “เปิดปาก” ใช้นิ้วโป้งกดลงตรงกลางช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงออกเพื่อให้เกิดแอ่ง ครูย้ำว่าอย่าให้ก้นบางเกินไป เดี๋ยวตอนเผาครั้งแรกจะแตกง่าย เราใช้เกจไม้ทาบให้พอดี แล้วค่อย ๆ ดึงผนังขึ้นทีละน้อย การดึงผนังต้องใช้สองมือ มือหนึ่งอยู่ข้างนอก อีกมืออยู่ข้างใน ให้แรงเท่า ๆ กันแล้วปล่อยให้ดินไหลขึ้นเอง ไม่ใช่ดึงขึ้นด้วยแรงล้วน ๆ มือเรายังแข็งและเกร็ง แต่พอทำไปสักพักกลับรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างคุยกันได้ดีขึ้นอย่างประหลาด
จานแรกที่ตั้งใจทำแบน กลายเป็นชามตื้น ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะดึงผนังสูงไปหน่อย ทุกคนหัวเราะเมื่อครูสรุปว่า “มันสวยในแบบของมัน” ซึ่งจริง เรามองแล้วก็ชอบ แต่ยังอยากทำจานแบนอยู่ดี จึงเริ่มก้อนใหม่ คราวนี้ลดแรงดึงลง คอยเตือนตัวเองว่า “นิ่งก่อน ค่อยดึง” จังหวะหายใจยาวขึ้นโดยไม่ต้องฝืน เสียงน้ำชะโลมบนผิวดินเหมือนเพลงประกอบที่ไม่ดังเกินไป รู้ตัวอีกที ขอบจานเริ่มกว้างและราบอย่างที่ตั้งใจ
พักเบรกสิบห้านาที เราออกไปยืนหน้าร้านกาแฟ สูดอากาศแล้วดื่มน้ำเปล่า เย็นวันอาทิตย์ในเมืองทำให้ถนนยังไม่แน่น คนขี่จักรยานผ่านหน้าสตูดิโอเป็นระยะ ๆ กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง มือยังชื้น ๆ แต่ใจนิ่งลงอย่างชัด ช่วงนี้ครูสอนการใช้เครื่องมือแต่งรูป ร่องขอบจาน การทำเท็กซ์เจอร์ด้วยฟองน้ำ และการใช้คัตติ้งไวร์ตัดชิ้นงานออกจากแป้น ต้องรอให้ชิ้นงาน “เซตตัว” ขึ้นเล็กน้อยก่อน ไม่งั้นจะเสียรูปง่ายมาก
หลังจากได้สองชิ้นที่พอใจ ครูชวนไปดูเตาเผาและชิ้นงานของรุ่นก่อน ๆ บางชิ้นมีรอยแตกเส้นเล็ก ๆ ที่ขอบ ครูบอกว่าเกิดจากความหนาไม่สม่ำเสมอ บางชิ้นกลายเป็นสีที่ไม่ได้ตั้งใจเพราะน้ำเคลือบไหลลงมากเกินไป เราฟังแล้วสะดุดกับคำว่า “ไม่ตั้งใจ” อยู่พักหนึ่ง เพราะมันคล้ายชีวิตจริงเหลือเกิน หลายครั้งเราพยายามคุมทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้กลับงอกมาจากช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างความตั้งใจกับความเป็นจริงเสมอ
ขั้นตอนเลือกน้ำเคลือบสนุกกว่าที่คิด สตูดิโอมีตัวอย่างสีให้ดูหลายแบบ เซราดอน เขียวอ่อน น้ำเงินเข้ม ขาวด้าน เทาอมฟ้า เราเลือกเคลือบขาวด้านสำหรับจานแบน และเขียวอ่อนสำหรับชามตื้น ๆ เพราะอยากเห็นความต่างของพื้นผิว ครูบอกว่าต้องรอให้แห้งสนิทก่อนถึงจะลงเคลือบ แล้วต้องเผาอีกครั้งในอุณหภูมิสูงกว่างานดิบ วันรับของจริงจะเป็นอีกสองสัปดาห์ จากนี้ไปมีหน้าที่เดียวคือรอ และภาวนานิด ๆ ให้เตาอารมณ์ดีในวันที่ของเราเข้า
ก่อนจบคลาส เราใช้เวลาเก็บโต๊ะ ล้างแป้น เช็ดน้ำที่หกลงพื้น เก็บเครื่องมือคืน กลิ่นดินเปียกยังติดมืออยู่แต่รู้สึกดีอย่างประหลาด เหมือนเพิ่งได้จับดินจริง ๆ ครั้งแรกในรอบหลายปี ในหัวผุดคำว่า “พอดี” ขึ้นมาหลายครั้ง พอดีของแรง พอดีของน้ำ พอดีของเวลา และพอดีของใจที่นิ่งพอจะปล่อยให้ดินเล่าเรื่องของมันเองโดยเราไม่ไปเร่ง
สองสัปดาห์ถัดมาเราไปรับของ ชิ้นแรกคือจานแบนด้านขาวที่ขอบเอียงนิด ๆ ข้างในมีจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ สองจุดที่เกิดจากเถ้าดินละเอียดลอยขึ้นในเตา ชิ้นที่สองคือชามตื้นเขียวอ่อน ผิวไม่สม่ำเสมอจนบางส่วนเป็นเงา บางส่วนด้าน ๆ มันไม่สมบูรณ์แบบเลย แต่กลับอยากหยิบมาใช้ทุกวันแบบไม่ต้องทะนุถนอม รอยเบี้ยวเล็ก ๆ ทำให้เรายิ้มทุกครั้งที่วางช้อนลงไป เหมือนเห็นความพยายามของวันนั้นซ้อนอยู่ในวัตถุชิ้นนี้อย่างชัดเจน
คืนนั้นกินข้าวในจานใหม่ มองรอยขอบเบี้ยว ๆ แล้วนึกถึงมือที่สั่นหน่อย ๆ ตอนเซ็นเตอร์ริ่งครั้งแรก นึกถึงคำของครูว่าอย่าดัน ให้ประคอง และนึกถึงเสียงแป้นหมุนที่ค่อย ๆ ช้าเมื่อเราปล่อยมือออกจากชิ้นงาน ทุกอย่างยังดังอยู่ในหัว แต่นุ่มลง คล้ายเพลงที่รู้จักดีวนกลับมาในตอนที่เหมาะพอดี การได้ทำอะไรที่มือเปื้อน แต่ใจสะอาดขึ้น มันดีงายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย