thammarith

เรียนว่ายน้ำในวัยผู้ใหญ่ สามเดือนที่สระเล็กๆ และความกลัวใหญ่ๆ

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

การตัดสินใจเรียนว่ายน้ำในวัยผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องโรแมนติกสำหรับเรา มันเริ่มจากปวดหลังเรื้อรังหลังนั่งออฟฟิศนานๆ หมอบอกให้ออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ ว่ายน้ำกับปั่นจักรยานเป็นตัวเลือกที่ดี เราเลือกว่ายน้ำเพราะสัญญากับตัวเองเงียบๆ ว่าอยากเลิกกลัวน้ำมาตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งเคยตกบ่อซีเมนต์ตื้นๆ แล้วสำลักจนน้ำตาไหล จำได้ถึงตอนนี้ว่าความกลัวนั้นมันไม่ใช่เหตุผล มันเป็นความรู้สึกดิบๆ ที่สั่งกล้ามเนื้อให้เกร็งโดยอัตโนมัติ พอโตขึ้นเราก็หลบเลี่ยงทะเล ลำคลอง และสระว่ายน้ำด้วยวิธีที่แนบเนียน เช่นเป็นคนถือกระเป๋าให้เพื่อน ดูของริมสระ หรือเป็นตากล้อง แต่พอหลังเริ่มเตือนว่า “ถึงเวลาเปลี่ยน” เราก็ไม่มีข้ออ้างมากนัก

สระที่เราไปเป็นสระยาว 25 เมตรในชุมชน ไม่ลึกมาก มีเลนสำหรับคนซ้อมจริงจังและเลนสำหรับผู้เริ่มต้น เราสมัครคลาสกลุ่มเล็กกับครูผู้หญิงวัยกลางคนที่อธิบายชัด เจ้าเล่ห์เล็กๆ ในแววตาแบบคนที่รู้ว่าความกลัวของผู้ใหญ่ไม่ได้เอาชนะแค่ด้วยท่าทาง แต่ด้วยวิธีเล่าเรื่อง ครูบอกว่า “วันนี้เราไม่สอนให้ว่ายน้ำ เราจะสอนให้ลอย” ประโยคเปิดคลาสนั้นทำให้เราหายใจลึกขึ้นนิดหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ เพราะมันฟังดูเป็นไปได้มากกว่าการ “ว่ายให้ถึงอีกฝั่ง” ในครั้งแรก

สัปดาห์แรกเราเรียนเรื่องการหายใจและการลอยทั้งหงายและคว่ำ ครูให้จับขอบสระ เอาหน้าลงน้ำ เป่าฟองอากาศยาวๆ จนฟองหมด แล้วค่อยโผล่ขึ้นมาหายใจ เรานับในใจช้าๆ 1-2-3-4 แล้วเป่าออกยาวๆ 1-2-3-4-5-6-7-8 เผลอทำหน้าเบี้ยวเพราะจมูกแสบคลอรีน ครูหัวเราะบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เราต้องยอมให้หน้าของเราเปียก โดยไม่รีบเช็ด การยอมให้หน้าเปียกนี่แหละที่น่าตลก มันดูเล็กน้อยแต่ยากที่สุดสำหรับคนกลัวน้ำอย่างเรา จิงๆ แล้วความกลัวของเราไม่ได้กลัวน้ำ แต่มันกลัวความไม่คุ้นเคยของลมหายใจที่ควบคุมไม่ได้มากกว่า

วันแรกของการลอยหงายเรายอมรับว่าตึงทั้งตัว ครูสอนให้เอาหูลงไปในน้ำจนได้ยินเสียงทึบๆ เหมือนอยู่ในห้องเล็ก ปรับคางให้ตั้งฉากกับท้องฟ้าหรือเพดานสระ ยอมให้ท้องลอยขึ้นเองโดยไม่พยายามยกด้วยแรงหน้าท้อง แล้วปล่อยไหล่ให้ตก พอทำถูกสักสองวินาที ร่างกายเหมือนอยากโดดกลับสู่ท่ายืนอย่างเนียนๆ เราหัวเราะกับตัวเองที่หู่นิดเดียวก็ทนไม่ไหว ครูบอกว่า “ร่างกายผู้ใหญ่ชอบควบคุม แต่การลอยคือการยอม” เราคิดถึงการทำงานที่เราชอบวางแผนทุกอย่าง แต่มีบางจังหวะที่การยอมปล่อยให้ทีมจัดการกันเองได้ผลดีกว่า เราอยากเก็บประโยคนี้กลับไปวางไว้ในห้องประชุมในวันจันทร์ด้วย

สัปดาห์ที่สองครูเริ่มให้เตะขา เราใช้บอร์ดโฟมชิ้นเล็ก ประคองไว้ด้านหน้า แขนเหยียดให้ตึงแต่ไม่เกร็งเกินไป ครูบอกว่าอย่าเตะจากเข่า ให้เตะจากสะโพก ท่อนขาเป็นแส้ยาวๆ บนผิวน้ำ พอลองทำจริงๆ เราถึงรู้ว่ากล้ามเนื้อสะโพกเราไม่เคยถูกสั่งแบบนี้มาก่อน จังหวะแรกๆ ขาเราเตะเหมือนคนจะตกจากเรือ ควบคุมไม่ได้ น้ำกระเด็นขึ้นหน้าตัวเองจนตาพร่า ครูเดินมาข้างๆ บอกให้ช้าลง ค่อยๆ ไล่จังหวะที่นิ่ง แล้วค่อยเพิ่มแรง เราช้าลงตามที่บอก และพบว่าความเร็วของบอร์ดกลับคงเส้นคงวากว่าเดิม การช้าไม่ใช่การช้าเสมอไปในน้ำ บางทีหมึกในน้ำที่ช้าๆ ยังคืบหน้าได้ดีกว่าเสือที่วิ่ง

ปลายสัปดาห์ที่สองเราเริ่มฝึกคว่ำหน้า ลอยแบบซูเปอร์แมน เอาแขนเหยียดและหายใจน้ำเข้าออกอย่างสบาย แล้วครูสาธิตการหายใจข้างเบื้องต้น ชวนเราลองหมุนศีรษะนิดเดียวเพื่อให้ปากโผล่พ้นน้ำ โดยที่ลำตัวยังอยู่ในแนวเดียวกับสายน้ำ ความท้าทายคือการไม่ยกหัวสูง เพราะพอยกหัว สะโพกจะตก และเราจะต้องออกแรงเตะขามากขึ้นเพื่อชดเชย ความจริงข้อนี้ดูเรียบง่าย แต่เป็นต้นเหตุของความเหนื่อยหมดแรงของมือใหม่อย่างเรา เราสงสัยว่าชีวิตบนบกเราก็ชอบยกหัว ยกไหล่ ยกทุกอย่างขึ้นไปแบกเอง พออยู่ในน้ำมันเลยกลายเป็นการลงโทษแบบเงียบๆ ว่าถ้ายังอยากควบคุมทุกอย่าง ก็เหนื่อยไปเองนั่นแหละ

สัปดาห์ที่สามเราเริ่มรู้จักท่าฟรีสไตล์จริงจัง ครูให้เราดูวิดีโอสั้นๆ ของนักว่ายน้ำที่ว่ายช้าๆ แต่ไหลลื่น แขนเข้าออกน้ำเหมือนจักรกลที่ใจเย็น มีจังหวะที่เรียกว่า catch, pull, push ที่เชื่อมกันอย่างนุ่มนวล ครูบอกว่าอย่ารีบดึงน้ำยาวๆ ตั้งแต่แรก ให้ขึ้นโครงก่อนว่าแขนเข้าออกตรงไหน แล้วค่อยคุมแรงในสัปดาห์ถัดไป เราฝึกช้าๆ ที่ขอบสระ นับเสียงในใจ “แขนซ้ายเข้า แขนขวาเข้า หมุนหายใจ” สลับไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นครูมาแตะหลังมือเราเบาๆ แล้วบอกว่า “นิ้วต้องผ่อน ปล่อยให้รู้สึกน้ำ” เราลองผ่อนมือจริงๆ แล้วพบว่าแรงต้านของน้ำมันสอนวิธีให้เอง แค่เราอย่าแข็งใส่มันเกินไป

เรามีวันที่รู้สึกแย่ด้วย แน่นอน คืนก่อนหน้าเรานอนดึกเพราะงานค้าง ตื่นมาปวดหัวทั้งวัน แต่ก็พาตัวเองไปสระ พอเริ่มฝึกสิบนาทีแรกก็สำลักน้ำเพราะลืมเป่าลมออกก่อนโผล่ขึ้นมาหายใจ อาการคอแสบตาแสบทำให้เราคิดว่า “พอเถอะ กลับบ้าน” แต่ครูกับเพื่อนในคลาสช่วยกันบอกว่าให้พักที่ขอบสระ หายใจยาวๆ สองนาที แล้วลองใหม่อีกครั้ง รอบนั้นเราโฟกัสแค่การเป่าลมยาวขึ้นนิดเดียว ไม่สนใจท่าทางอื่น ผลคือว่ายได้สามสโตรกติดโดยไม่สำลัก มันเป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่ทำให้เรากลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าตัวเองยังเรียนรู้ได้ เราแอบสะกดผิดในไดอารี่ว่า “วันนี้ว่ายน้ำดีขื้น” พอเห็นคำผิดแล้วก็ขำตัวเองนิดๆ

ปลายสัปดาห์ที่สี่เราครบรอบ 100 เมตรครั้งแรก แบบไม่หยุด แต่ยังหายใจถี่และแขนล้า ครูบอกว่าสิ่งที่ต้องทำไม่ใช่เพิ่มแรง แต่ลดแรงที่เกิน ครูสอนเรื่องการกลิ้งลำตัวเล็กน้อยในแนวยาวของแกนกลาง เวลาแขนซ้ายเข้า ให้ลำตัวหมุนไปทางซ้ายเล็กๆ เพื่อใช้กล้ามเนื้อหลังและลำตัวช่วย ไม่ใช่หวดแขนอย่างเดียว เราซ้อมบนบกด้วยการยืนหน้ากระจกและหมุนแกนกลางช้าๆ เหมือนเต้นรำกับน้ำ พอลงสระ เรารู้สึกว่าการใช้ลำตัวช่วยทำให้แขนหายเหนื่อยไปมาก และที่สำคัญ หายใจง่ายขึ้นด้วย

เดือนที่สองเราเริ่มคุ้นสระมากขึ้น และเริ่มแอบอยากชนะอะไรบางอย่างในใจตัวเอง ครูเลยพาไปลองท่ากบและท่ากรรเชียงแบบเบื้องต้น เพื่อให้ร่างกายได้พักจากรูปแบบเดิมและกระตุ้นกล้ามเนื้อส่วนอื่น ท่ากบเป็นท่าที่คนไทยคุ้น แต่พอทำจริงๆ เราพบว่าจังหวะหายใจและการกดตัวลงน้ำเพื่อเตะขารูปกบมันต้องแม่นยำ ไม่งั้นเราจะถีบแล้วลอยหัวขึ้นแบบกระชากจนเหนื่อย ครูให้เราจับบอร์ดฝึกเตะแบบกบโดยไม่ต้องหายใจเร็ว ช้าๆ แต่จังหวะมาก่อน ที่น่าสนใจคือท่ากรรเชียงให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด เราเห็นฟ้า เห็นโครงเหล็กของหลังคา เห็นนกบินผ่านบ้าง ขณะที่มือสลับเข้าตามแนวหู น้ำสาดบนแก้มในมุมใหม่ เหมือนได้รีเซ็ตระบบประสาทส่วนที่กลัว เพราะในท่านี้เราเหมือนเอาหลังมอบให้สระคอยรองรับอยู่ตลอดเวลา

ในช่วงนี้เราเริ่มตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น ว่ายฟรีสไตล์ 200 เมตรแบบไม่หยุด สัปดาห์ถัดไป 300 เมตร และสลับท่ากรรเชียงให้ไหลลื่น เราศึกษาน้ำหนักของแรงต้านด้วยวิธีบ้านๆ เช่นดูฟองอากาศที่มือ ถ้ามากแปลว่ามุมมือเราผิด พยายามให้ฟองน้อยที่สุด รู้สึกน้ำเต็มมือที่สุด และมือจบสโตรกตรงบริเวณต้นขาเพื่อดันตัวไปข้างหน้าให้สุด เราเริ่มสนุกกับความละเอียดอ่อนของน้ำ มันไม่ใช่ศัตรู แต่มันเป็นครูที่เงียบ เราบันทึกตัวเองในสมุดว่า “วันนี้น้ำใจดี เราก็ใจดี” คำนี้ฟังดูเพี้ยนๆ แต่มันช่วยให้เรามีท่าทีที่ใช่ทุกครั้งที่ลงสระ

เดือนที่สามเราเริ่มฝึกการเซ็ตเซสชันเองโดยไม่ต้องพึ่งครูทุกเม็ด ครูให้เมนูง่ายๆ มาเป็นไกด์ เช่น วอร์มอัพ 200 เมตร (ท่าที่อยากทำช้าๆ), เมนหลับตา 4x50 ฟรีสไตล์พัก 30 วินาที เน้นหายใจข้างสลับ, 4x50 กรรเชียงพัก 30 วินาที เน้นจังหวะคงที่, คูลดาวน์อีก 200 เมตร วันอื่นก็สลับเป็น 6x100 เน้นท่าฟรีแล้วลอง negative split คือให้ 50 เมตรท้ายเร็วกว่า 50 เมตรแรก เราเริ่มเข้าใจศัพท์พื้นฐานแบบสบายๆ และรู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็เป็น “คนว่ายน้ำ” แบบหนึ่ง ไม่ใช่คนที่ “กำลังเรียนว่ายน้ำ” อย่างเดียวอีกต่อไป

มีวันหนึ่งฝนตกพรำๆ กลางแดด เราตัดสินใจไปสระตอนบ่าย เข้าสูตรที่คนชอบบอกว่า “ฝนตกแดดออก คนแก่ตาย” ซึ่งเราก็ไม่อยากให้ใครตายหรอก แต่สระว่างมาก เงียบเย็น ครูไม่ได้อยู่ เลนที่เคยวุ่นกลับมีเราอยู่คนเดียว เสียงฝนตกบนหลังคาเหล็กกลายเป็นจังหวะช่วยนับสโตรก เราว่าย 400 เมตรติดต่อกันครั้งแรกโดยไม่หอบแฮ่กกลางเลน รู้สึกว่าร่างกายพาไปเอง และใจเป็นคนตาม ไม่มีความกลัวคอยดึงข้อเท้าไว้เหมือนก่อน เราขึ้นจากสระช้าๆ แล้วนั่งมองผิวน้ำที่สั่นระริกแบบคนมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อย เราพิมพ์ข้อความหาเพื่อนว่า “วันนี้ว่ายครบ 400 แล้วนะ” แล้วเผลอสะกดว่า “ครยบ” ไปหนึ่งคำ เพื่อนตอบกลับมาว่า “ดีแล้ว อย่ากลัวน้ำอีกนะ” สั้นๆ แต่พอ

ท้ายคอร์ส ครูชวนลองลงสระใหญ่ของสนามกีฬาเขตที่ลึกกว่าและยาว 50 เมตร รอบแรกเรากลัวจนมือสั่น เพราะไม่ได้เห็นพื้นชัดเหมือนสระประจำ แต่พอหายใจสองสามรอบแล้วจับจังหวะได้ เราก็พบว่าความลึกไม่ได้ทำให้จมนะ ถ้าเทคนิคพื้นฐานทำถูก มันยังไงก็คือการไหลไปบนผิวน้ำเหมือนเดิม ครูว่ายนำแล้วชะลอลงคอยดูเราเป็นระยะ พอขึ้นฝั่งครูบอกว่า “เห็นไหม ความกลัวมันเหมือนสระลึก เราไม่ต้องลงไปถึงก้นก็ได้ เราว่ายอยู่บนผิวของมันก็พอ” เรายิ้มกว้างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นี่คือวันที่รู้สึกว่าตัวเองปล่อยไหล่ลงจริงๆ

สิ่งที่เราได้จากสามเดือนนี้ นอกจากกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงขึ้น และอาการปวดหลังที่ดีขึ้นอย่างชัด คือท่าทีที่เปลี่ยนไปต่อสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เราเรียนรู้ที่จะปล่อยหัวให้อยู่ในแนวเดียวกับลำตัว หายใจอย่างมีวินัยไม่เร่งรีบ และไม่ยกหัวขึ้นทุกครั้งที่ตกใจ ลึกๆ คือเราฝึกใจให้ไว้ใจกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ทันทีทันใด เวลาเจอปัญหาในงาน เราถามตัวเองว่า “ตอนนี้เรากำลังยกหัวจนสะโพกตกหรือเปล่า” ถ้าใช่ เราจะลองปรับท่าที ลดแรงเกิน และให้ลำตัว (ทีม) ช่วยพาไปบ้าง อาจฟังดูเว่อร์ แต่ประโยคพวกนี้ช่วยจริงๆ ในโลกที่ทุกอย่างเร่งให้เราเงยหน้าให้สูงขึ้นตลอดเวลา

สุดท้ายอยากบันทึกไว้สำหรับคนที่คิดจะเริ่มในวัยผู้ใหญ่เหมือนเรา:

  • เริ่มจากครูที่เข้าใจความกลัวของผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่สอนท่า แต่สอนใจ
  • ให้เวลากับการลอยหงายและคว่ำมากๆ เพราะมันคือราก
  • ฝึกหายใจทุกครั้ง แม้วันที่ไม่อยากลงสระ ก็ซ้อมเป่าลมในอ่างล้างหน้าได้
  • ใช้เลนช้าอย่างสุภาพ และขอบคุณคนอื่นที่แบ่งน้ำให้เรา
  • บันทึกความคืบหน้า แม้จะเป็นแค่ 25 เมตรที่ไม่หยุดก็ตาม

สามเดือนที่ผ่านมาทำให้เราคิดถึงเด็กที่เคยสำลักน้ำแล้วร้องไห้ เขายังอยู่ในตัวเรา และวันนี้เขายังกลัวอยู่บ้าง แต่เรากอดเขาแน่นขึ้นด้วยแขนที่แข็งแรงกว่าเดิม และพาเขาว่ายข้ามสระเล็กๆ นี้ไปด้วยกัน ความกลัวไม่ได้หายไป แต่เราอยู่กับมันได้ดีขึ้น เราว่ายอยู่บนผิวของมันได้อย่างสงบ นั่นน่าจะพอแล้วสำหรับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้จะว่ายน้ำจริงๆ เสียที