thammarith

ทำงานสายเดิมในทีมใหม่ สิ่งที่ไม่คาดคิดจากสัปดาห์แรก

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

เราเพิ่งย้ายทีมในองค์กรเดิม บทบาทยังเป็นสายเดิมที่ทำมาหลายปี แต่บริบทใหม่แทบทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้จัดการ เพื่อนร่วมทีม จังหวะการประชุม ไปจนถึงความหมายของคำง่ายๆ อย่างคำว่า “เสร็จ” ในที่ทำงาน ปกติการเปลี่ยนงานช่วยกระตุ้นให้เราจริงจังกับการตั้งสเตตัสใหม่ แต่การย้ายทีมเหมือนการย้ายบ้านภายในซอยเดียวกัน คุณยังเจอร้านข้าวเดิม เสียงหมาที่คุ้น แต่กุญแจบ้านและวิธีล็อกไม่เหมือนเดิม เราเลยอยากจดสิ่งที่ไม่คาดคิดจากสัปดาห์แรก เผื่อครั้งต่อไป (ที่หวังว่าจะอีกนาน) จะได้เตรียมใจถูก

อย่างแรกคือความเงียบ ทีมใหม่เงียบกว่าเดิมมาก ไม่ใช่ว่าไม่มีการคุย แต่เสียงในแชทหลักเงียบ การประชุมยาวแต่มีช่วงนิ่งยาวกว่า เรานั่งฟังจนเข้าใจว่าในทีมนี้ เงียบไม่ได้แปลว่าไม่เห็นด้วย เงียบคือการคิดและให้พื้นที่กันจริงๆ พอถึงเวลาต้องตัดสินใจ ทุกคนพูดเฉพาะส่วนที่ตัวเองรู้จริง ไม่มีการเดาเล่นๆ ให้หนักหัวคนฟัง สิ่งนี้ทำให้เราต้องเปลี่ยนนิสัยจากเดิมที่ชอบโยนไอเดียเร็วๆ มาเป็นการรออีกนิดเพื่อถ้อยคำที่คมขึ้น ไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้ห้องไม่เงียบ ซึ่งแรกๆ มันทรมานหน่อยๆ เหมือนกัดลิ้นตัวเองให้ช้า

อย่างที่สองคือคำจำกัดความของ “เสร็จ” ในทีมเดิม การเสร็จแปลว่าขึ้นโปรดักชันเรียบร้อย มีการมอนิเตอร์ และเขียนโน้ตปล่อยเวอร์ชันชัดเจน แต่ในทีมใหม่ “เสร็จ” ของงานวิจัยอาจหมายถึงมีผลสรุปเบื้องต้นที่แชร์ได้แล้ว พร้อมช่องว่างที่รับรู้ร่วมกันว่ายังต้องเติม ในขณะที่งานฟีเจอร์ แปลว่าเสร็จเฉพาะหลังบ้านแต่ยังไม่เปิดแฟลก ทำให้เราต้องเรียนรู้การถามให้ชัดว่า “เสร็จแปลว่าอะไรในกรณีนี้” เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างความคาดหวัง วันที่สองของสัปดาห์เราเมสเสจถามคำถามตรงๆ ข้อนี้ในแชททีม แล้วเขียนสรุปคำตอบลงในวิกภายในทีม พอวันถัดมาเห็น PM ใช้เอกสารนั้นเป็นฐานคุยกับทีมดีไซน์ เราก็โล่งใจว่าตัวเองไม่ได้จุกจิกเกินไป

เครื่องมือคืออย่างต่อมาที่ทั้งคุ้นและไม่คุ้น เราใช้เครื่องมือชุดเดิมเกือบทั้งหมด แต่พอเปลี่ยนทีม วิธีใช้กลับต่างกัน เช่นและสั้นๆ โพรเซสรีวิว PR ในทีมเก่าจะมีลิสต์เช็กที่ทุกคนยึด ทีมใหม่มีสิ่งที่คล้ายกันแต่ฝังอยู่ในเทมเพลต Pull Request ไม่ได้ประกาศเป็นทางการ เราเลยเผลอพลาดเช็กส่วนหนึ่งไปใน PR แรก โชคดีมีรุ่นพี่คอมเมนต์แบบใจเย็น และชวนให้เราแก้ไขเทมเพลตเพิ่มเช็กพ้อยต์ที่ขาด เราเลยได้เรียนรู้อีกอย่างว่า ทีมที่ดีไม่ใช่ทีมที่ไม่พลาด แต่เป็นทีมที่หาทางเปลี่ยนระบบให้รองรับความพลาดซ้ำๆ ได้ดีกว่าเดิม

การอ่านโค้ดในบริบทใหม่ยากกว่าที่คิด ทั้งที่ภาษากับเฟรมเวิร์กเดิม แต่การตั้งชื่อ ฟังก์ชันที่ชอบซ่อนความซับซ้อน และปรัชญาการออกแบบไม่เหมือนทีมก่อน เราเริ่มจากการตามเทสก่อน ตามด้วยดูที่ไฟล์ config เข้าใจวิธีประกอบบริการ และที่สำคัญคือไล่อ่านเอนด์พ้อยต์ที่คนใช้จริง แล้วค่อยย้อนกลับมาหาเซอร์วิสที่เรียกใช้ เรายอมรับเลยว่าอ่านช้ากว่าที่คิดเพราะต้องคอยแปล “ภาษาทีม” เป็นภาษาที่เราคุ้น ในไดอารีวันพฤหัสเราเขียนไว้ว่า “อย่าพยายามเก่งในวันเดียว ให้เก่งขึ้นนิดหน่อยในทุกวันพอ” ประโยคนี้ช่วยให้เราไม่เร่งจนเหนื่อยเกินไป

อีกเรื่องที่ไม่คาดคิดคือความเมตตาแบบเงียบของคนในทีม ตอนบ่ายของวันแรกเราเจอบั๊กเล็กๆ ในระบบแจ้งเตือนที่ทีมใช้อยู่ มันไม่กระทบคนใช้งาน แต่ทำให้เราปักหมุดผิดพิกัดเวลาตามรอยปัญหา เราส่งข้อความถามรุ่นพี่ในทีม เขาโทรมาอธิบายทีละขั้น ใช้เวลายี่สิบนาที แล้วปิดท้ายด้วยคำว่า “เขียนโน้ตทิ้งไว้ให้หน่อยนะ เผื่อคนอื่นเจอ” วันต่อมาเราเห็นเขารีวิวโน้ตแบบละเอียด แก้คำบางคำให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยไม่ประกาศในที่สาธารณะว่าเราเป็นคนพลาด เรื่องเล็กๆ แบบนี้ทำให้เรากล้าถามมากขึ้น และอยากช่วยคนอื่นกลับแบบเดียวกัน

เรื่องเวลาประชุมก็เปลี่ยน จากเดิมที่มีเดลี่สั้นๆ และรีโทรสัปดาห์ละครั้ง ทีมใหม่นัดรีโทรถี่ขึ้นในช่วงที่เราย้ายเข้า เพื่อให้ทุกคนบอกความรู้สึกจริงๆ ว่าติดตรงไหน เจ็บตรงไหน ประโยคที่เราคิดถึงคือ “อะไรทำให้คุณเปลืองพลังงานมากกว่าเดิมในสัปดาห์นี้” คำถามนี้ซื่อบื้อดีแต่สะท้อนว่าทีมสนใจสุขภาพพลังงานของกันและกัน ความรู้สึกของเราช่วงนั้นคือเหนื่อยเพราะต้องแปลหลายภาษาในหัว ภาษาเทคนิค ภาษาองค์กร ภาษาไม่เป็นทางการของทีม และภาษาของตัวเองที่บางวันก็ฟังยาก เราบอกทีมไปตามตรง แล้วสัปดาห์ต่อมาก็มีคนสรุปคำศัพท์เฉพาะของทีมให้เราหนึ่งหน้า ขำๆ แต่ช่วยมาก

แม้จะเป็นสัปดาห์แรก เราก็โดนชวนเข้าไปจับงานที่ได้ผลเร็ว ช่วยทอนงานใหญ่ให้เล็ก จัดสตรอรี่ใหม่ให้ปล่อยเป็นเฟสได้ เพราะทีมอยากให้เราเห็นว่าความสำเร็จเล็กๆ ช่วยจูนความมั่นใจ เราเริ่มจากเรื่องที่ดูเชยที่สุดอย่างการจัดเรียงคิวงานหลังบ้านให้แฟร์ขึ้นระหว่างลูกค้ากลุ่ม A และ B ปกติทีมตั้งคิวเท่ากัน แต่พอเจอเคสพิเศษที่กลุ่ม A มีสัญญา SLA ที่โหดกว่า เลยต้องให้สิทธิ์พิเศษบางส่วน เราคุยกับ PM และคนดูแลสัญญา แล้วเขียนกติกาที่อ่านง่าย ไม่ใช้คำเทคนิคเยอะ ข้อความสามบรรทัดทำให้ทุกคนเห็นภาพตรงกัน และช่วยป้องกันดราม่าในอนาคต บทเรียนคือ บางทีการช่วยมากสุดคือการเขียนสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ให้กลายเป็นตัวอักษรชัดๆ

เรายังได้ลองจับงานที่ไม่ถนัดเท่าไหร่ เช่นการช่วยเตรียมเวิร์กช็อปเล็กๆ ให้ทีมดีไซน์กับทีมวิศวกรคุยภาษาเดียวกัน เรื่องง่ายๆ อย่าง “เวลาเราพูดว่าหน้าจอนี้ช้า” มันวัดอย่างไร วัดด้วย TTI หรือวัดด้วยเวลาที่คนรู้สึกว่ากดแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เราเตรียมตัวแบบบ้านๆ ใช้ตัวอย่างหน้าจอที่คนทีมเราใช้ทุกวัน แล้วทำการ์ดคำถามให้ทุกคนหยิบไปคุยเป็นคู่ สิ่งที่ได้คือความเข้าใจใหม่ที่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นฉากการใช้งานจริง ตัวเลขบอกส่วนหนึ่ง เรื่องเล่าบอกอีกส่วนหนึ่ง ทั้งสองอย่างต้องเดินคู่กัน

ความคาดหวังที่มีต่อผู้จัดการก็เปลี่ยน จากเดิมที่อยากได้คำตอบชัดๆ กลายเป็นอยากได้คำถามที่ดีขึ้น ในวันพุธเราคุยหนึ่งต่อหนึ่ง เขาถามเราว่า “สิ่งที่อยากลองแต่ยังไม่ได้ลองคืออะไร” เราตอบไปตรงๆ ว่าอยากลองทำงานที่ใกล้ฝั่งลูกค้ามากขึ้น ไม่ใช่แค่หลังบ้าน แล้ววันศุกร์เราก็ได้เข้าไปนั่งฟังทีมซัพพอร์ตคุยกับลูกค้ากลุ่มเล็ก ฟังคำถามจริงๆ ที่เขามี และฟังความเงียบที่เกิดเมื่อเราไม่มีคำตอบ เราออกมาจากห้องนั้นพร้อมโน้ตยาวสามหน้า และความคิดว่า งานของเราคือการลดเวลาที่ความเงียบแบบนั้นกินพลังใจคนทั้งสองฝั่ง

ระหว่างทั้งหมดนี้เราพยายามรักษานิสัยเล็กๆ ที่ช่วยให้ตัวเองไหว เช่นการจดโน้ตด้วยมือก่อน แล้วค่อยย้ายขึ้นเครื่องมือของทีม การปิดแจ้งเตือนในช่วงที่ต้องอ่านโค้ดจริงจัง การออกไปเดินวนรอบตึกตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อรีเซ็ตหัวยี่สิบนาที และการให้อภัยตัวเองที่พลาดเรื่องพื้นๆ บางเรื่อง เช่นเรียกชื่อบริการผิด หรืออ่านตารางผิดคอลัมน์ วันหนึ่งเราดันสะกดชื่อเพื่อนร่วมทีมผิดในแชท เขาตอบกลับมาด้วยการสะกดชื่อเราผิดคืนหนึ่งครั้งแล้วหัวเราะ โชคดีที่ทีมนี้มีอารมณ์ขันแบบไม่ทำให้ใครรู้สึกแย่เกินไป

สัปดาห์แรกจบลงด้วยความเหนื่อยแบบอิ่ม กับความรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้อง “พิสูจน์ตัวเอง” ให้ใครดูมากเท่าที่คิด แต่ต้องพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าเรายังเรียนรู้ได้เร็วพอ ยังกล้าถามพอ และยังเขียนให้คนอื่นอ่านรู้เรื่องพอ เราจบสัปดาห์ด้วยการส่งข้อความขอบคุณคนนึงในทีมที่ช่วยนั่งอธิบายให้เราเข้าใจระบบแจ้งเตือน แล้วก็ส่งโน้ตสั้นๆ ในวิกทีมเพื่อชวนทุกคนเติมคำในเอกสาร “เสร็จ แปลว่าอะไร” ให้ดีขึ้นอีกนิด ความรู้สึกที่ได้คือทีมใหม่ไม่ได้ต้องการให้เราเป๊ะตั้งแต่วันแรก แต่ต้องการให้เราซื่อสัตย์กับสิ่งที่ไม่รู้ และลงมือเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ ให้ดีขึ้นได้จริง

ถ้าถามว่ามีอะไรที่อยากเตือนคนที่จะย้ายทีมบ้าง เราคงบอกว่า เตรียมใจให้ช้าลงในสัปดาห์แรก ช้าลงในความหมายของการเปิดหู เปิดตา ไม่ใช่ช้าลงแบบหยุดทำอะไร รู้จักถามคำถามที่ดูเหมือนไม่ฉลาด แต่ช่วยทีมประหยัดเวลาถกเถียงได้หลายชั่วโมง เช่น “คำนี้ในทีมเราหมายถึงอะไร” หรือ “ใครเป็นคนตัดสินใจสุดท้ายเรื่องนี้” เขียนสิ่งที่เข้าใจลงไปในที่ที่ค้นง่าย อย่าไว้ใจความจำของตัวเองมากเกินไป และอย่าลืมยิ้มเวลาพิมพ์ผิดสองสามครั้งแรก มันจะดีขึ้น

ในที่สุด สัปดาห์แรกก็ผ่านไปเหมือนรถเมล์ที่มาถึงช้ากว่าตารางเล็กน้อย แต่ยังพาเราถึงที่หมายได้โดยไม่หลงทาง เราเปิดปฏิทินดูสัปดาห์ถัดไป เห็นหัวข้อการคุยใหม่ๆ ทั้งที่ตื่นเต้นและทั้งที่อยากแกล้งลืม แล้วก็หายใจเข้าออกลึกๆ บอกตัวเองว่า เปลี่ยนทีมไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ เรามีทุนเดิม มีแผลเดิม และมีนิสัยที่ใช้ได้อยู่แล้ว แค่ต้องเรียนรู้ภาษาทีมใหม่ทีละคำ แล้ววางอีโก้ไว้บนโต๊ะให้ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเราตั้งใจไปทิศทางเดียวกันจริงๆ นั่นแหละ สิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดจากสัปดาห์แรกคือการได้กลับมาฟังตัวเองอีกครั้งท่ามกลางความเงียบที่พอดี