thammarith

สุดสัปดาห์ที่ห้องสมุดชนบท

· ธรรมฤทธิ์ ลิขิตธีรเมธ

ผมออกเดินทางเช้าวันเสาร์จากกรุงเทพฯ ใส่เสื้อยืดเก่า รองเท้าผ้าใบที่พร้อมจะเปื้อน และหมวกแก๊ปใบที่ใช้มาหลายปี เป้ใบเล็กใส่เสื้อผ้าสองชุด สมุดโน้ต ปากกา และเทปกระดาษหนึ่งม้วน จุดหมายอยู่ในอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดแถบอีสานใต้ เพื่อนบอกว่าที่นั่นมีห้องสมุดชุมชนที่เพิ่งรื้อปรับปรุง อยากได้แรงคนไปช่วยจัดหมวดหนังสือ ทำชั้นวาง และทาสีใหม่ให้ดูสว่างขึ้น “ไม่ต้องเก่ง แค่มือถึงก็พอ” เขาพูดในโทรศัพท์แบบขำ ๆ ผมตอบตกลงทันทีเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ทำงานหน้าจอเยอะเกินไป เริ่มคิดช้า ๆ และใจร้อนกับเรื่องเล็กน้อยโดยไม่จำเป็น

รถสองแถวสีครีมรับคนตามป้ายข้างทาง ลมเช้าพัดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ กลิ่นข้าวใหม่ยังติดจมูกอยู่ลาง ๆ เมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนลูกรังไปทางวัด ผมเห็นตึกปูนชั้นเดียวหลังเล็กที่ทาสีเหลืองอมครีม ด้านหน้าแขวนป้ายไม้สลักว่า “ห้องสมุดชุมชนบ้านโนนแม่นาง” ตัวอักษรสีดำเริ่มหลุดลอกบ้างตามกาลเวลา ประตูเหล็กม้วนเปิดขึ้นครึ่งหนึ่ง เห็นฝุ่นแดดลอยในอากาศเป็นเม็ด ๆ เหมือนเกล็ดน้ำตาล

ผมลงจากรถสองแถว เจอพี่กำนันยืนคุยกับครูอาสาอีกสองคน เขายิ้มกว้างแบบคนคุ้นเคยกับการต้อนรับ “มากันแล้วบ่” เสียงทักทายทำให้บรรยากาศคลายเกร็ง พี่กำนันพาเดินดูรอบ ๆ ห้องสมุด โต๊ะไม้ยาวสี่ตัว ชั้นเหล็กถอดประกอบกองพะเนิน หนังสือในกล่องพลาสติกใสวางเรียงบนพื้นปูน หลายเล่มเป็นนิยายรักจากยุค 90 บางเล่มเป็นพจนานุกรมหนาเตอะ มีหนังสือสำหรับเด็กปกสีฉูดฉาดสลับอยู่เป็นระยะ ผมยกกล่องขึ้นชั้นชั่วคราว หยิบผ้าแห้งมาเช็ดฝุ่นทีละเล่ม ใช้เทปใสติดสันหนังสือที่ฉีกเล็กน้อย เป็นงานซ้ำ ๆ ที่ทำให้ใจค่อย ๆ สงบ

ก่อนเที่ยง เราแบ่งงานกันเป็นสามสาย สายแรกทำชั้นไม้จากไม้ยางต่อแผ่นด้วยสกรู สายที่สองคัดหนังสือและติดป้ายหมวดหมู่ ส่วนผมกับหลาน ๆ ในหมู่บ้านอีกสี่คนเป็นสายทาสี ทำผนังด้านหนึ่งให้สว่างขึ้นเพราะเดิมมีรอยด่างที่ปิดด้วยโปสเตอร์เก่า ๆ เราขูดโปสเตอร์ออก เห็นลายปูนแตกเป็นทางยาวเหมือนรากไม้ที่ไต่บนกำแพง ผมแซวเด็ก ๆ ว่ามันคล้ายแผนที่ลำธาร พวกเขาหัวเราะแล้วรับแปรงไปทีละคน น้ำเสียงคึกคักแบบวัยรุ่นทำให้ห้องที่เงียบ ๆ ดูมีชีวิตขึ้นกว่าเดิม

ระหว่างรอสีแห้ง เรานั่งพักใต้ต้นทองอุไรหน้าห้องสมุด ลมบ่ายพัดมาพร้อมกลิ่นดินชื้นจากสปริงเกอร์ของโรงเรียนข้าง ๆ ป้าคนหนึ่งเดินหิ้วหม้อแกงเขียวหวานกับข้าวเหนียวมาวางให้บนเสื่อ “กินก่อนเด้อ เดี๋ยวเป็นลม” เธอพูดพลางยิ้ม ผมไม่ค่อยคุ้นกับข้าวเหนียวตอนเที่ยงเท่าไหร่ แต่พอได้ลองก็รู้สึกว่าร่างกายมีแรงแปลก ๆ เหมือนมันเก็บพลังไว้ได้ยาวกว่าข้าวสวยธรรมดา หลังข้าวเที่ยง ทุกคนช่วยกันเก็บถ้วยชาม ล้างน้ำแล้วตากไว้ที่รั้ว พี่กำนันชวนคุยถึงสมัยก่อนที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านจะมาที่นี่ทุกเย็น เขาบอกว่า “สมัยก่อนมันบ่มีมือถือ เด็กสิวิ่งมาหยิบการ์ตูนอ่านจนชั้นสั่น” พูดแล้วก็มองไปยังชั้นว่าง ๆ ในห้อง เหมือนกำลังนึกภาพนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

ช่วงบ่ายเราเริ่มจัดหมวดหนังสือ ผมกับครูอาสาวชื่อแป้งตกลงกันว่าจะใช้หมวดเรียบง่ายก่อน ได้แก่ เด็ก, วัยรุ่น, นิยายผู้ใหญ่, สารคดีทั่วไป, อาชีพและทักษะ, ภาษา, และสังคมศึกษา เราใช้เทปสีติดสันหนังสือเพื่อให้เห็นได้จากระยะไกล เด็ก ๆ เห็นแล้วชอบใจ เพราะทำให้ง่ายต่อการหาเล่มต่อไปของซีรีส์ที่อยากอ่าน แป้งเล่าว่าถ้าอนาคตมีบาร์โค้ดสแกนยืมคืนได้จะดีมาก แต่ตอนนี้ใช้สมุดลงชื่อไปก่อน เราเลยเขียนฟอร์มง่าย ๆ บนกระดาษ A4 แล้วถ่ายเอกสารไว้สิบแผ่น ติดบอร์ดไว้มุมโต๊ะยืมคืน

ตอนเย็นฝนตั้งเค้า ฟ้ากว้างกลายเป็นสีเทาหนัก เรารีบยกชั้นวางเข้าที่ ปิดหน้าต่างไม้ที่พ่นสีใหม่จนดูสดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่หยดแรกตก ผนังด้านที่พึ่งทาสีก็สะท้อนแสงหลอดฟลูออเรสเซนต์นวล ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบห้องนั่งเล่นมากขึ้น เด็กผู้ชายคนหนึ่งถามผมว่า “พี่ วันพรุ่งอ่านหนังสือให้ฟังได้บ่” ผมพยักหน้าทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จะอ่านเรื่องอะไรให้เหมาะ แต่ความอยากฟังของเขาทำให้คำตอบง่ายมาก

คืนแรกผมนอนที่ศาลาวัดติดกับห้องสมุด เสียงฝนตกตลอดคืนสลับกับเสียงจักจั่น ไฟถนนส้ม ๆ ทอดเงาต้นไม้ลงบนพื้นศาลา ผมเปิดสมุดโน้ต เขียนรายการสิ่งที่จะทำในวันอาทิตย์ ข้อหนึ่งคือเคลียร์มุมเล็ก ๆ สำหรับพ่อแม่ที่มานั่งรอลูกอ่าน ข้อสองคือทำป้าย “อ่าน 15 นาที” แบบเรียบง่าย และข้อสามคือจัดกล่อง “หนังสือที่ต้องซ่อม” แยกไว้จะได้ไม่ต้องค้นซ้ำ ก่อนหลับคิดถึงห้องสมุดสาธารณะในกรุงเทพฯ ที่ผมไปบ่อย ๆ แล้วแอบยิ้มกับความจริงที่ว่ากลิ่นหนังสือเก่ากับเสียงฝน มันเข้ากันได้ดีอย่างน่าแปลก

เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นมาพร้อมกลิ่นดินหลังฝน ใบไม้ร่วงเกลื่อนหน้าห้องสมุด เรากวาดพื้นและเปิดประตูทิ้งไว้ให้ลมพัดเอาความชื้นออก แม่ค้าขายขนมครกใจดีนำถาดขนมมาวางไว้ให้ เขียนโน้ตสั้น ๆ “ให้เด็ก ๆ เด้อบักหล่า” ผมหยิบกระดาษแข็งมาตัดเป็นป้าย แปะคำว่า “มุมคอยลูก” ใต้ชั้นหนังสือพ่อแม่ พร้อมวางเก้าอี้พลาสติกสามตัว โต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว และหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กที่หาได้จากกล่องบริจาค

สิบโมงเช้า เด็ก ๆ ทยอยมากันทีละคนสองคน คนโตจูงมือน้องเล็ก มีบางคนวิ่งเข้ามาพร้อมรองเท้าเปียก ๆ ทำให้พื้นลื่น เราเลยเอาพรมปูหน้าประตูไว้หนึ่งผืนเพื่อซับน้ำ แป้งหยิบหนังสือภาพเรื่องสัตว์ป่าออกมา ผมเลือกนิทานเกี่ยวกับการนับเลขชื่อสั้น ๆ แต่มีรูปประกอบสนุก เด็กชายที่ถามเมื่อวานนั่งแถวหน้าสุดด้วยท่าทีตั้งใจผิดปกติ พอเริ่มอ่าน ผมค่อย ๆ เปลี่ยนเสียงให้เข้ากับตัวละครบ้างนิดหน่อย ไม่ได้ทำเสียงมากมายจนเว่อร์ แต่พอให้เด็กยิ้มและหัวเราะในบางจังหวะ เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งชี้รูปช้างแล้วบอกว่า “ที่นาเฮามีกะปู้นบ่” ทุกคนหัวเราะรวม ผมเลยถามกลับว่า “ถ้าเจอช้างมาที่นา เฮาสิทำจังได๋ดี” เด็ก ๆ ช่วยกันตอบ เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าหนังสือไม่ใช่แค่สิ่งที่อ่าน แต่เป็นข้ออ้างให้เราคุยกันและหัวเราะด้วยกัน

หลังเล่านิทาน เราให้เด็ก ๆ เลือกหนังสือกลับบ้านได้คนละหนึ่งเล่มพร้อมกำหนดคืนอาทิตย์หน้า ใช้วิธีลงชื่อชั้นเรียนและเบอร์พ่อแม่ไว้ ผมหยิบเทปสีเหลืองมาติดมุมปกที่ขอบด้านในเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นหนังสือ “ยืมบ้านได้” เด็กชายคนเดิมเลือกหนังสือการ์ตูนความรู้เรื่องดาวเคราะห์ ส่วนเด็กหญิงอีกคนหยิบหนังสือทำขนมง่าย ๆ ไป บอกว่าจะกลับไปช่วยยายทำขนมขายที่หน้าบ้าน พี่กำนันยืนมองและพยักหน้าเบา ๆ เหมือนกำลังบันทึกภาพนี้ไว้ในใจ

บ่ายวันนั้นพ่อแม่บางคนเริ่มเข้ามานั่งที่มุมคอยลูกจริง ๆ ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งหยิบหนังสือเรื่องการทำบัญชีครัวเรือนขึ้นมาอ่าน เขาพูดกับผมว่า “เมื่อก่อนกะอยากฮู้เรื่องจั่งซี้ แต่บ่กล้าไปห้องสมุดอำเภอ” ผมพยักหน้าและยิ้ม มองดูมือหยาบกร้านของเขาจับกระดาษอย่างระมัดระวัง เห็นแล้วรู้สึกขอบคุณคนที่บริจาคหนังสือพวกนี้มาโดยไม่รู้ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้มันได้บ้านแล้วจริง ๆ

ก่อนกลับ ผมเดินวนเช็กทุกชั้นวาง ตรวจดูว่าสกรูแน่นดีไหม วางป้ายเตือน “อย่าปีนชั้นหนังสือ” ไว้ที่ระดับสายตาของเด็ก ย้ายโปสเตอร์เก่า ๆ ออก แล้วติดตารางกิจกรรมวันอาทิตย์ที่มุมหน้าประตู เขียนด้วยลายมือใหญ่ ๆ ว่า “9:30–10:00 เปิดห้องสมุด, 10:00–10:30 เล่านิทาน, 10:30–11:30 อ่านเงียบ, 13:00–14:00 ยืมหนังสือกลับบ้าน” แป้งมองแล้วบอกว่า “พี่เขียนสวยกว่าที่คิด” ผมหัวเราะเพราะในใจรู้อยู่แล้วว่าลายมือผมธรรมดามาก แค่ใส่ใจจังหวะช่องไฟให้พอดีเท่านั้นเอง

พอถึงเวลาต้องกลับ เด็ก ๆ มาส่งที่หน้าห้องสมุด ผมหันไปมองผนังสีใหม่ ชั้นวางเรียงตรง พรมหน้าประตูที่เริ่มมีคราบจากรองเท้าเปียก ๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความสะอาดไร้ที่ติอาจไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง สิ่งสำคัญกว่าคือการใช้งานได้จริง วุ่นวายบ้าง เลอะบ้าง แต่คนได้ใช้ ผมรับไลน์กลุ่มจากพี่กำนันไว้ เขาบอกว่าถ้ามีกล่องหนังสือใหม่จะถ่ายรูปส่งให้ดู แล้วหัวเราะบอกว่า “มื้อหน้ามาอีกเด้อ” ผมตอบไปว่า “มาครับ” แบบไม่ลังเล แม้จะยังไม่รู้วันไหนก็ตาม

บนรถสองแถวขากลับ ผมนั่งมองทุ่งกว้างที่เพิ่งโดนฝนล้างจนสีเขียวสดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมองไหลย้อนกลับไปถึงตอนเด็กที่แม่พาไปห้องสมุดประชาชนใกล้บ้าน จำได้ว่าเคยนั่งพื้นพรมคัน ๆ อ่านการ์ตูนวิทยาศาสตร์จนลืมเวลา คงเพราะความทรงจำง่าย ๆ พวกนั้นเองที่ทำให้ผมยังอยากให้เด็กคนอื่นมีโอกาสได้นั่งอ่านหนังสือใต้แสงไฟพอเหมาะ พื้นสะอาดพอประมาณ และผู้ใหญ่ที่ยิ้มให้อย่างเข้าใจ

การอาสาครั้งนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่มีภาพสวย ๆ ให้ลงโซเชียลมากนัก มีแต่เหงื่อ เปื้อนสี และหนังสือที่ต้องเช็ดฝุ่น แต่ผมกลับรู้สึกว่าคุ้มค่ามากกว่าหลายอย่างที่ทำในเมือง มันพาผมกลับไปทบทวนว่าความรู้สึก “อยากรู้” ของเด็ก ๆ คือเชื้อไฟที่เปราะบางและสำคัญแค่ไหน เราไม่จำเป็นต้องรอให้ห้องสมุดสมบูรณ์แบบแล้วค่อยเปิด ใช้สิ่งที่มี ทำเท่าที่ทำได้ แล้วปล่อยให้ชีวิตของสถานที่ค่อย ๆ งอกงามขึ้นจากคนที่เข้าไปใช้งาน

ผมลงรถหน้าตลาดในอำเภอ เปลี่ยนต่อรถตู้กลับกรุงเทพฯ ระหว่างรอ ผมหยิบสมุดขึ้นมาเขียนต่อท้ายหน้าวันนี้ว่า “อาทิตย์หน้า ส่งหนังสือภาพมือสอง และสติ๊กเกอร์ตัวอักษรไปให้” และเขียนอีกบรรทัดว่า “อย่าลืมกลับไปเล่านิทานให้จบอีกเรื่อง” ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่ไป ผนังสีสดนั้นอาจจะมีรอยดินจากมือเด็ก ๆ เพิ่มขึ้นอีกหน่อย ชั้นหนังสืออาจจะเอียงไปนิด แต่ถ้าเสียงหัวเราะยังดังอยู่ ผมก็คงยิ้มกว้างเหมือนพี่กำนันในเช้าวันแรกไม่มีผิด