วิ่งเทรลจำลองในสวนลุม วันฝนพรำ
ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกครึ่งชั่วโมง ทั้งที่เมื่อคืนไม่ได้เข้านอนเร็วอะไร เสียงฝนซู่เบา ๆ กระทบกันสาดทำให้ลังเลนิดหน่อยว่าจะออกไปวิ่งดีไหม แต่พอคิดถึงรองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อสัปดาห์ก่อน ใจก็เริ่มเอนเอียงไปทาง “ไป” ถึงฝนจะพรำ ๆ แต่สวนลุมในเช้าแบบนี้มักจะสวยเป็นพิเศษ ทางดินแถวริมสระจะนิ่มกำลังดี กลิ่นดินเปียกชวนให้หายใจลึก ๆ เหมือนร่างกายได้รีบูตกลาย ๆ
ออกจากบ้านด้วยกระเป๋าคาดเอวใส่ซองเกลือแร่หนึ่งซอง ทิชชู่ กระบอกน้ำ 500 มล. และเจลพลังงานหนึ่งซองเผื่อฉุกเฉิน ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำ “วิ่งเทรลจำลอง” รอบสวน ใช้สนามที่มีจริงคือลูกรังและขอบดินที่ลากยาวข้างทางจักรยาน ให้เท้าคุ้นกับสภาพที่ไม่เรียบ แล้วค่อยแทรกอินเทอร์วัลสั้น ๆ เพื่อกระตุกหัวใจ มาถึงประตูพระบรมราชชนนี ฝนเริ่มซาลงพอดี ท้องฟ้าสีเทาอมฟ้าทำให้สีเขียวของต้นไม้สดเด้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กิโลแรกตั้งใจวิ่งช้า ๆ ใช้จังหวะก้าวสั้น ขยับแขนเบา ๆ ให้ไหล่คลาย เสียงรองเท้าเหยียบกรวดเบา ๆ คล้ายดนตรีประกอบเช้า ๆ พอถึงโค้งใหญ่ตรงใกล้ ๆ ศาลาภิรมย์ฤดี เห็นลุงคนหนึ่งสวมเสื้อกันฝนสีส้มสะท้อนแสง กำลังยืนดูฝูงนกพิราบเกาะสายไฟ ลุงยิ้มให้แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฝนตกแบบนี้วิ่งดีนะ เย็น ไม่ร้อน” เราพยักหน้าตอบอย่างขอบคุณ ประโยคสั้น ๆ กลายเป็นแรงใจแปลก ๆ ให้วันนี้ไม่รีบแต่ก็ไม่ผ่อนจนลืมเป้าหมาย
ช่วงกิโลที่สองถึงสาม เริ่มเพิ่มความชันโดยการขึ้นลงเนินเล็ก ๆ ตามขอบสวน ถ้าดูดี ๆ สวนลุมมีเนินซ่อนอยู่หลายจุด โดยเฉพาะแถวโขดหินและรากไม้ใกล้สระเล็ก ๆ ต้องยกเท้าสูงกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อหลบรากเปียก สองสามครั้งแรกยังเผลอวางเท้าผิดจนลื่นเสี้ยววินาที เหงื่อกับฝนผสมกันแล้วไหลลงคอเสื้อ ไม่หนาว ไม่ร้อน แค่รู้สึกว่าตัวเองตื่นเต็มจริง ๆ
ถึงจุดน้ำพุหน้าสวนสัตว์เขาดินเก่า เสียงน้ำกระทบพื้นเข้ากับจังหวะเท้าแบบบังเอิญ ตั้งใจดึงเจลออกมาแต่ยังไม่กิน เก็บไว้ก่อนเพราะพลังยังดีอยู่ เลี้ยวซ้ายเข้าแถวสะพานไม้ยาว ๆ ที่คนชอบหยุดถ่ายรูป ฝนทำให้พื้นสะพานมีฟิล์มบาง ๆ ลื่น ๆ ต้องลดความเร็วและยกเข่าสูงขึ้นอีกนิด ขณะเดียวกันสายตาก็มองหาจุดที่พื้นด้านข้างเป็นดินแข็งกว่าพื้นไม้ เพื่อให้แรงกระแทกของเท้าสม่ำเสมอมากขึ้น
อินเทอร์วัลชุดแรกเริ่มตรงมุมสนามเด็กเล่นร้าง (เช้าวันฝนไม่มีเด็ก) ตั้งเตือนในนาฬิกา 1 นาทีแรง 1 นาทีเบา รวม 10 รอบ ขณะรอบที่สามเริ่มรู้สึกตึงน่องซ้าย เพราะพื้นดินตรงนั้นเป็นร่องจากน้ำไหล แก้ด้วยการขยับไปวิ่งริมทางจักรยานช่วงสั้น ๆ แล้วค่อยเลี้ยวกลับสู่ขอบดินอีกรอบ การยอมปรับหน้างานสำคัญกว่าการยึดตามแผนเป๊ะ ๆ ไม่งั้นได้เจ็บกล้ามเนื้อแบบงง ๆ แน่
ระหว่างรอบที่ห้าเห็นตัวเงินตัวทองตัวใหญ่ค่อย ๆ โผล่หัวขึ้นจากสระ มันนิ่งจนนึกว่าเป็นท่อนไม้ สองวิวิถัดมามันคืบลงน้ำอย่างสงบ ชวนให้ชะลอเท้าแล้วมองตาม ไม่รู้ทำไมภาพนั้นทำให้เราเปลี่ยนโหมดจาก “แข่งกับตัวเอง” ไปเป็น “อยู่กับที่นี่เดี๋ยวนี้” แบบชัดเจน อินเทอร์วัลที่เหลือเลยไม่ใช่การซัดไม่คิด แต่เป็นการตั้งใจรู้จังหวะหายใจเข้าออกให้พอดีกับความเร็วที่ตั้งไว้
จบรอบที่สิบ หายใจแรงขึ้นแต่ยังไม่หอบ เปิดน้ำดื่มสองอึดแล้วล้างเหงื่อที่คอ เท้าเริ่มคุ้นกับพื้นลูกรังแบบหลวม ๆ มีช่วงที่นิ้วโป้งเท้าขวาเสียดกับผ้า ทำเอาแสบนิด ๆ คิดในใจว่าถ้าฝืนยาวคงพองแน่ เลยหยุดสั้น ๆ แก้เชือกรองเท้าให้คลายออกครึ่งรู แล้วลองวิ่งต่อ อาการแสบหายไปแทบจะทันที เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ถ้ามองข้ามไป วันรุ่งขึ้นอาจจะเดินลำบากโดยไม่จำเป็น
หลายคนชอบถามว่าทำไมต้อง “จำลองเทรล” ในเมือง คำตอบของเราง่าย ๆ ว่าเส้นทางเทรลจริงมักไปไกล ต้องใช้เวลาเดินทาง แต่ความรู้สึกของการวางเท้าบนพื้นที่ไม่เรียบ การมองหาเส้นทางย่อย การขึ้นลงจังหวะสั้น ๆ เราสามารถซ้อมพื้นฐานได้ในสวน กำลังใจที่ได้จากการ “ได้ทำ” ทุกเช้าแบบนี้ทำให้วันทั้งวันไหลไปดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้สุดท้ายวันนั้นจะต้องนั่งหน้าจอยาว ๆ ก็ตาม
ครึ่งหลังของการวิ่งวันนี้วางแผนให้ยาวขึ้น แต่ช้าลง ตั้งเป้า HR โซน 2–3 เลาะสระใหญ่ดูผู้คนมากขึ้น มีนักปั่นสองคนคุยกันเรื่องยางรั่ว มีนักเดินหญิงวัยกลางคนถือร่มใส เดินแกว่งแขนเป็นจังหวะ มีพนักงานสวนกำลังโกยใบไม้ที่ร่วงเต็มทางเท้า ฝนหยุดแล้ว แต่ละหยดยังค้างบนปลายใบ เห็นแสงอ่อน ๆ ตกกระทบเป็นประกายเล็ก ๆ เต็มไปหมด
ผ่านร้านน้ำมะพร้าวเจ้าประจำ กลั้นใจไม่หยุดซื้อเพราะอยากเก็บไว้เป็นรางวัลตอนจบ ช่วงนี้ลองสลับก้าวให้ยาวขึ้นเปิดสะโพก รู้สึกเลยว่าลมหายใจไหลดีขึ้น และหลังตรงขึ้นโดยไม่ต้องฝืน เมื่อไหล่คลาย การแกว่งแขนก็สมดุลขึ้นเอง สเต็ปแบบนี้พอดีกับพื้นดินชื้น ๆ ที่ต้องวางเท้าให้ “นิ่ง” ตั้งแต่สัมผัสครั้งแรก ไม่งั้นจะกระดกเกินแล้วเสียแรงฟรี
จบ 12 กิโลเมตรในเวลาช้ากว่าปกตินิดหน่อย แต่สภาพใจดีมาก ซื้อมะพร้าวหนึ่งลูก นั่งที่เก้าอี้ปูนมองคนเดินผ่าน เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนมองฝูงปลาในสระอย่างตั้งใจ ใบหน้าจริงจังแบบเด็กที่กำลังนับอะไรสักอย่าง เราเผลอยิ้มแล้วนึกถึงตัวเองตอนอายุเท่า ๆ กัน ที่มัวแต่นับรอบสระว่ายน้ำโรงเรียนอยู่ทุกเย็น ชีวิตก็วนเวียนอยู่กับน้ำกับลมตั้งแต่นั้นมา เห็นจะจริง
พอกลับถึงบ้านถอดรองเท้าแล้วเช็ดให้สะอาด ตรวจพื้นรองเท้าว่ามีกรวดติดหรือเปล่า ล้างถุงเท้าด้วยน้ำเย็นก่อนซัก ใส่เกลือแร่ครึ่งซองลงในน้ำเย็นอีกแก้ว จิบช้า ๆ แล้วเปิดสมุดบันทึกจดสั้น ๆ ว่า วันนี้ได้อะไรบ้าง ข้อหนึ่งคือ “อย่าดันท่า ถ้าพื้นไม่ให้ ก็ปรับ” ข้อสอง “หายใจให้ยาวก่อนค่อยเพิ่มแรง” ข้อสาม “ความสุขวันนี้คือกลิ่นดินกับเสียงรองเท้าเหยียบกรวด” แค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับเช้าวันฝนพรำที่ใครหลายคนเลือกนอนต่อ
ถ้าถามว่าอยากให้ใครลองแบบนี้บ้างไหม ก็ตอบว่าอยาก แต่ไม่อยากให้ยึดติดว่าต้องเหมือนกันทุกอย่าง วิธีของคุณอาจจะเริ่มด้วยการเดินเร็วบนทางหินกรวดสองรอบก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นจ๊อกกิ้งสั้น ๆ วันไหนพื้นลื่นมากก็เปลี่ยนเป็นสวนข้างบ้านแทน ข้อที่สำคัญสุดคือการ “ไป” ออกประตูบ้านให้สำเร็จก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันหน้างาน เพราะเส้นทางจริง ๆ มันมักจะโผล่มาตอนที่เรากำลังก้าวเท้า ไม่ค่อยยอมมาตั้งแต่ก่อนออกเดินหรอก
สรุปของวันนี้: รองเท้าคู่ใหม่ผ่านสนามดินชื้นได้สบาย อินเทอร์วัล 10 รอบถือว่ากำลังดีสำหรับฟ้าเปิดครึ่งวัน น่องซ้ายต้องยืดเพิ่มอีกนิด คืนนี้ถ้าไม่ลืมจะรีดด้วยโฟมโรลเบา ๆ ก่อนนอน และถ้าพรุ่งนี้แดดออก อยากลองวิ่งช้า ๆ อีกรอบในเส้นเดิมดูว่าภาพโดยไม่มีฝนจะให้ความรู้สึกต่างจากเช้านี้แค่ไหน นี่แหละเสน่ห์ของการวิ่งซ้ำที่เดิม มันไม่ค่อยซ้ำจริง ๆ เลยสักวัน