อาสาที่ศูนย์พักพิงสุนัข เสียงเห่าและมือที่สั่นเล็กน้อย
ตัดสินใจสมัครเป็นอาสาที่ศูนย์พักพิงสุนัขใกล้บ้านจากโพสต์ในกลุ่มชุมชน แอดมินบอกว่าไม่ต้องมีประสบการณ์ แค่มาให้เวลาและใส่รองเท้าหุ้มส้นก็พอ เช้าวันนั้นอากาศขมุกขมัว มีลมแรงก่อนฝน พอรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลี้ยวเข้าซอยลึก กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อปะทะจมูกตั้งแต่ยังไม่ลงรถ ผมสูดหายใจอีกครั้งก่อนเดินเข้าไปข้างใน มือจับสายกระเป๋าแน่นนิด ๆ แบบที่ตัวเองยังพอรู้
ภาพแรกที่เห็นคือกรงเหล็กเรียงกันสองฝั่ง เสียงเห่าดังเป็นคลื่น ๆ มาเป็นระลอก บางตัวกระดิกหาง บางตัวหันหลังนอนเฉย ๆ บางตัวเกาะเหล็กมองคนใหม่อย่างสงสัย เจ้าหน้าที่สองคนยืนรออยู่พร้อมถังน้ำและสายยาง เขาบอกสั้น ๆ ว่าวันนี้งานหลักมีสามอย่าง ล้างกรง ผสมอาหาร และพาสุนัขที่พร้อมไปเดินสายจูงรอบสนามด้านหลัง แล้วก็ย้ำว่า “อย่าใส่ใจเสียงมากไปนะ แป๊บเดียวจะชินเอง”
เริ่มงานจากการล้างกรง กติกาคือพาสุนัขออกมาก่อน เสียบคันล็อกประตู แล้วฉีดน้ำแรงพอประมาณ ไล่จากมุมอับไปตำแหน่งท่อระบายน้ำ ใช้แปรงด้ามยาวขัดคราบที่เกาะแน่น สลับกับฟอกน้ำยาบาง ๆ ก่อนล้างออก สองกรงแรกเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนัก เพราะมีเจ้าจ๋อวัยรุ่นชอบกระโดดชนประตูจนแปรงหลุดจากมือไปสองครั้ง มือเลยสั่น ๆ เมื่อย ๆ ทั้งจากแรงและจากความเกรง ๆ ว่าจะทำแรงไปจนมันกลัว แต่พอทำไปสามสี่กรง กล้ามเนื้อแขนเริ่มจำทิศทางขยับเอง หายใจเข้าลึก ๆ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกลายเป็นกลิ่นทำงานที่ “โอเค” ได้อย่างรวดเร็ว
ช่วงสายเป็นเวลาผสมอาหาร โต๊ะสเตนเลสใหญ่รองรับกะละมังสีฟ้าใบโต เราใส่อาหารเม็ดลงไปรวมกับผักต้มสับละเอียดและหัวไก่บดเล็กน้อย เติมน้ำอุ่นให้พอดีนิ่ม คนให้เข้ากันจนอาหารดูชุ่มและไม่แข็งเกินไป เจ้าหน้าที่สอนว่าต้องแบ่งตามขนาดตัวและอายุ บางตัวเพิ่งทำหมันกลับมาจึงต้องลดปริมาณลงหน่อย ส่วนตัวที่น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานต้องเพิ่มอีกนิด มีตัวหนึ่งชื่อโกโก้ ขนสีน้ำตาลเข้มเป็นเงา ตาแป๋วแต่กลัวคน เขาแนะนำให้วางถ้วยแล้วถอยหลังสองก้าว ไม่สบตานานเกินไป สองนาทีหลังจากนั้นโกโก้เริ่มเลีย ๆ แล้วค่อย ๆ กิน เป็นชัยชนะเล็ก ๆ ที่เราทุกคนยิ้มให้กันแบบไม่ต้องส่งเสียง
ก่อนเที่ยงเราพักยืนหลบแดดตรงเงาหลังคา เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าศูนย์นี้มีสุนัขประมาณร้อยกว่าตัว มาจากเคสหลงทาง บาดเจ็บ หรือเจ้าของเก่าไม่พร้อมเลี้ยงต่อ เป้าหมายคือหาบ้านให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าทุกตัวจะไปได้เร็ว มีบางตัวใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าจะไว้ใจคนพอจะขึ้นรถไปบ้านใหม่ ฟังแล้วเงียบไปพักใหญ่ รู้สึกทั้งทึ่งทั้งเศร้าแบบประหลาด ๆ
ภารกิจช่วงบ่ายคือพาเดินสายจูงรอบสนามหลังศูนย์ เจ้าหน้าที่หยิบปลอกคอแบบรัดนิด ๆ และเชือกจูงมาให้ เขาย้ำว่าถ้าสุนัขตึง ให้เราผ่อน ไม่ต้องดึงสวนทันที ให้หยุดยืนนิ่งแล้วรอให้มันหันมามองเองก่อนค่อยเดินต่อ ตัวแรกของเราชื่อไข่เค็ม สีขาวดำ หูตั้ง ขาลายด่าง ๆ เริ่มจากเดินวนเป็นวงเล็ก ๆ ใต้ร่ม ก่อนค่อย ๆ ออกไปที่ลานทราย เสียงเห่าจากในศูนย์ยังดังเป็นจังหวะห่าง ๆ ไข่เค็มหันไปมองประตูหลายครั้ง เราลองพึมพำเบา ๆ ว่า “ไปนะ ไปเดินเล่น” แล้วชี้มือไปข้างหน้า ท่าทางคลายลงอย่างชัด เรายิ้มให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ เขายกนิ้วโป้งให้แบบเร็ว ๆ
ตัวต่อไปคือดาว ลูกครึ่งไทยหลังอานขนสีดำเงา ดวงตาคมแบบซน ๆ ตอนแรกดึงสุดแรงจนมือชา ต้องหยุดยืนนิ่งตามที่สอน ใจอยากดึงกลับแต่ก็อดทนไว้ รอสักครู่ดาวเริ่มหยุดดึง หันมามองแว้บเดียวแล้วเดินตามต่อได้ ระหว่างทางมีนกพิราบบินต่ำผ่านหน้าพอดี ดาวกะโดดใส่แบบอัตโนมัติ เชือกตึงอีกครั้ง โชคดีที่เรายืนมั่นแล้วออกเสียง “ช่ะ” สั้น ๆ ตามที่เจ้าหน้าที่สาธิตไว้ ดาวลดแรงลงเหมือนไม่ได้สู้กับเรา แต่เหมือนสู้กับตัวเอง นี่คงเป็นบทเรียนของวัน ว่าความอ่อนโยนกับความชัดเจนควรเดินคู่กัน ไม่งั้นก็พาไปไหนไม่ได้
พอกลับเข้าศูนย์ มีอาสาอีกกลุ่มกำลังตัดเล็บให้สุนัขสูงวัยสองตัว เราแวะช่วยจับเบา ๆ ตรงอกและคางให้มันนิ่ง ขณะเจ้าหน้าที่ค่อย ๆ ตัดทีละนิด ระวังไม่ให้โดนเส้นเลือด เสียงกรรไกรเล็ก ๆ กระทบกันเป็นจังหวะช้า ๆ กลิ่นแป้งโรยแผลกับน้ำยาทำความสะอาดจาง ๆ ลอยมา บรรยากาศสงบกว่าตอนเช้ามาก เหมือนเสียงเห่าเริ่มเป็นเสียงพื้นหลังที่เราไม่ต้องใส่ใจนักอีกต่อไป มือที่ตอนเช้าสั่น ๆ ตอนนี้นิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ช่วงท้ายวันมีคนมาดูสุนัขเพื่อรับไปเลี้ยง เป็นครอบครัวเล็ก ๆ พ่อแม่ลูกวัยประถม เจ้าหน้าที่ให้เขานั่งบนพรม แล้วพาเจ้าข้าวปุ้น ตัวเล็กขนสีครีมเข้ามา ข้าวปุ้นสูดกลิ่นไปรอบ ๆ ช้า ๆ ก่อนจะนั่งลงใกล้เด็กผู้ชาย เห็นภาพนั้นแล้วใจอ่อนทันที นึกถึงการจับคู่ที่เหมาะกันอย่างพอดี ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ เจ้าหน้าที่ต้องฟัง ต้องสังเกต และต้องรู้จักทั้งคนและสุนัขคู่นั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่ให้ใครก็ได้รับไปเพราะอยากลดจำนวนในศูนย์
ก่อนกลับเรากวาดลานหน้าศูนย์ รวบใบไม้เปียกใส่ถุงดำ ถอนหายใจยาว ๆ แบบโล่งทั้งกายและใจ ถามเจ้าหน้าที่ว่าควรกลับมาอีกวันไหน เขาบอกว่า “วันไหนก็ได้ที่คุณว่าง เราดีใจทุกครั้งที่มีคนกลับมา” ประโยคธรรมดามาก แต่ทำให้ทั้งวันมีความหมายทิ้งท้ายแบบนุ่ม ๆ ขณะเดินออกจากซอย เสียงเห่ายังดังตามหลังมา เป็นเสียงที่ตอนเช้าฟังดูสับสน แต่ตอนนี้กลับคล้ายจังหวะคุ้น ๆ ของสถานที่หนึ่งที่เราพอจะรู้จักแล้ว
กลับถึงบ้านล้างรองเท้า ถอดถุงมือ ทายาฆ่าเชื้อรอยข่วนเล็ก ๆ ตรงข้อมือขวา แล้วนั่งเงียบ ๆ อยู่หน้าพัดลมสักพัก ความเหนื่อยไม่ใช่แบบออกกำลัง แต่เป็นแบบใช้ใจและความอดทนกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่พูดภาษาเดียวกัน แล้วเราก็คิดได้ว่า ความช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องใหญ่โต ครึ่งวันของคนคนหนึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งมื้อต่อวันของสุนัขทั้งกรง หรือหนึ่งการเดินเล่นที่ทำให้มันหลับสบายขึ้นในคืนนั้น แค่นั้นก็น่าจะพอ
ถ้ามีใครถามว่าจะกลับไปอีกไหม คำตอบคงเป็นใช่ อาจจะไม่ทุกสัปดาห์ แต่อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะที่นั่นสอนให้เราช้าลง ฟังมากขึ้น และเข้าใจว่าอ่อนโยนไม่ได้แปลว่าใจอ่อน อ่อนโยนแปลว่ารู้ว่าควรยืดหยุ่นตรงไหนและควรชัดตรงไหน ซึ่งก็เป็นทักษะที่ใช้ได้กับมนุษย์ทุกคนในเมืองนี้เหมือนกันเป๊ะ