หนึ่งสัปดาห์ไม่มีโซเชียล เหลืออะไรบ้างในวันธรรมดา
มีอยู่คืนหนึ่ง เราจับได้ว่ามือถืออยู่ในมือเราแทบทั้งคืน แม้จะไม่ได้สำคัญอะไร เราเลื่อนผ่านสตอรี่ของคนที่ไม่ได้คุยกันมานาน ดูคลิปทำอาหารที่ไม่มีทางทำตาม และอ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ที่ยาวอย่างกับรายงานการประชุม ทั้งหมดนี้กินเวลาไปเกือบสามชั่วโมง ก่อนนอนเราบอกตัวเองเล่นๆ ว่าสัปดาห์หน้าจะลองปิดโซเชียลทั้งหมดดู ลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนเช้าที่นิสัยเก่าคือจับมือถือก่อนแปรงฟัน และตอนบ่ายที่ความเหนื่อยชวนให้เราเข้าไปหลบในฟีดต่างๆ การทดลองเริ่มต้นแบบไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แค่ลบแอปหลักๆ ออกจากมือถือ ปิดแจ้งเตือน และบอกเพื่อนสองสามคนว่าอาจตอบช้าหน่อย
วันแรกเช้าๆ เราเผลอหยิบมือถือขึ้นมาสามครั้งภายในสิบห้านาที ทั้งที่ไม่มีอะไรให้กดเข้าไปแล้ว หน้าจอว่างแปลกๆ เหมือนย้ายของออกจากห้องแล้วเหลือผนังโล่ง บางคนชอบความโล่งแบบนี้ แต่เรารู้สึกไม่แน่ใจว่าจะวางมือไว้ตรงไหน กว่าจะจับจังหวะได้ก็หลังแปรงฟันเสร็จ เราทำกาแฟกินเองแบบง่ายๆ แล้วนั่งอ่านหนังสือที่ค้างไว้ สองสามหน้าแรกเชื่องช้ากว่าปกติ เพราะสมองยังหาที่หลบไม่ได้ แต่พอผ่านไปสิบนาทีเหมือนอะไรค่อยๆ สงบลง เราเริ่มอ่านได้ยาวขึ้น นาฬิกาบอกว่าเหลือเวลาไปทำงานอีกเยอะกว่าที่คิดแปลกดี
ที่ทำงานวันแรกไม่มีโซเชียลก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนมาก เรามักจะเปิดโซเชียลตอนรอคอมไถไฟล์ใหญ่ๆ หรือระหว่างโหลดโปรเจกต์ พอไม่มี เราก็ลุกไปเดินเติมน้ำ เดินไปหลังตึกหายใจลึกๆ แล้วกลับมานั่งดูบั๊กเก่าที่ดองไว้แทน ความรู้สึกแปลกคือความกังวลคล้ายๆ FOMO วิ่งอยู่ใต้ผิว ว่าพลาดข่าวสำคัญหรือเปล่า พลาดการนัดหมายหรือเปล่า จนถึงเย็นที่เพื่อนส่งข้อความมาทางแอปแชทว่าคนในทีมจะกินข้าวที่ไหน ตอนนั้นแหละถึงรู้ว่า สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่ฟีด แต่คือความเชื่อมโยงที่กำหนดเวลาชัดเจน
วันที่สองเราลบไอคอนเสิร์ชของเบราว์เซอร์ออกจากหน้าแรกด้วย เพราะตัวเองเริ่มชดเชยการไม่มีโซเชียลด้วยการเปิดข่าวรัวๆ เป็นสิบนาทีตอนเช้า เราสลับมาอ่านจดหมายข่าวสองฉบับที่สมัครไว้แทน อ่านแบบตั้งใจ ไม่ไถผ่านหัวข้อ น่าตลกที่การอ่านข่าวแบบช้าทำให้รู้สึกว่าโลกกระชับขึ้น ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่ทุกนาทีอย่างที่ฟีดทำให้เรารู้สึก เราไปทำงานสายกว่าปกตินิดหนึ่งเพราะเพลินกับการไฮไลต์ข้อความในอีเมล แต่ก็ยังทันประชุมแรกอยู่ดี
กลางสัปดาห์เป็นวันที่ยากที่สุด ตอนบ่ายโมงครึ่งเป็นช่วงที่เราจะหลบเข้าไปดูวิดีโอสั้นๆ เสมอ เพราะสมาธิตกและตากล้า พอไม่มี เรานั่งจ้องหน้าจอคอมแล้วเพิ่งรู้ว่าอาการง่วงไม่ได้หายไปไหน เราหยิบผ้าห่มผืนเล็กๆ ไปงีบสิบนาทีในห้องเงียบของออฟฟิศ พอตื่นมาหัวโล่งขึ้นกว่าดูวิดีโอเป็นสิบนาทีเสียอีก เลยคิดว่า บางอย่างเราพยายามแก้ด้วยสิ่งเบี่ยงเบน แต่ร่างกายต้องการพักจริงๆ แบบตรงไปตรงมา
เย็นวันพุธเรานัดเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันนาน เรากังวลนิดๆ ว่าจะคุยกันไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน แต่กลับกลายเป็นว่ามีเรื่องเล่าเต็มไปหมด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างร้านอาหารแถวบ้านที่เปลี่ยนเจ้าของ ความยากของการนอนให้พอในคืนวันทำงาน และการเปลี่ยนงานที่ยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่ พอเลิกกัน เรากลับบ้านโดยไม่หยิบมือถือขึ้นมาระหว่างนั่งรถเหมือนที่เคยทำ นั่งมองแสงไฟริมทางที่ผ่านไปเป็นจุดๆ แล้วรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองจำเส้นทางที่นั่งผ่านทุกวันได้น้อยมาก เพราะที่ผ่านมาเอาแต่ก้มหน้า
วันพฤหัสเราลองเขียนบันทึกสั้นๆ แทนการโพสต์อะไรลงที่ไหน เราเขียนว่ารู้สึกดีกับการไม่มีภาระต้องอธิบายทุกอย่างให้สวยงามพอจะเล่าได้ เขียนว่ามีความคิดโง่ๆ โผล่มาตอนเช้า แล้วก็หายไปตอนบ่ายโดยไม่ต้องมีใครรับรู้ เขียนว่ากาแฟวันนี้ขมกว่าปกติ เพราะรีบ แต่ก็ไม่เป็นไร บันทึกนี้ไม่ได้จะโพสต์ให้ใครอ่าน เราเขียนเพื่อจำว่าความรู้สึกเราเดินไปยังไงช่วงสัปดาห์หนึ่งเท่านั้นเอง
เข้าวันศุกร์ เราเริ่มเห็นว่าทำงานเสร็จเร็วขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเก่งขึ้น แต่เพราะไม่มีการพักแบบสั้นๆ ที่กินเวลาเป็นระยะๆ ไม่รู้ตัว การโฟกัสนานๆ ทำให้เราอยากพักแบบจริงจังแทน เช่นการลงไปเดินเร็วๆ รอบบล็อก 15 นาที ซื้อส้มหนึ่งลูก แล้วกลับขึ้นมาเติมงานอีกชั่วโมง พอห้าโมง เราปิดคอมโดยไม่รู้สึกว่าค้างอะไรไว้ในหัวมากนัก ความเงียบแบบนี้ไม่หรูหรา ไม่ใช่สปา แต่มันทำให้เย็นวันศุกร์ไม่ต้องหาที่หลบ
สุดสัปดาห์เราออกไปปั่นจักรยานเช้าวันเสาร์ แล้วแวะห้องสมุดช่วงบ่าย พอไม่มีโซเชียล เราได้คุยกับบรรณารักษ์เรื่องหนังสือที่เพิ่งเข้าห้อง ว่าเล่มไหนคนยืมเยอะ ว่าคนรุ่นใหม่อ่านอะไรเยอะขึ้น ว่ามีชุมชนเล็กๆ ที่นัดกันมาอ่านหนังสือเงียบๆ ด้วยกันทุกบ่ายวันอาทิตย์ เราคิดว่าชีวิตที่ดีของเมืองไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แค่มีพื้นที่ให้กิจกรรมธรรมดาเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ก็พอแล้ว
แน่นอนว่าการไม่มีโซเชียลไม่ได้โรแมนติกไปหมด เราพลาดข่าวชวนหัวเราะบางเรื่อง พลาดภาพลูกหลานของเพื่อนที่เพิ่งไปเที่ยว พลาดการประกาศเปิดรับสมัครงานที่อาจจะน่าสนใจ และพลาดการนัดรวมกลุ่มบางครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการเห็นว่าความสัมพันธ์ที่แน่นที่สุดยังเกาะอยู่ได้ด้วยช่องทางอื่น เราโทรหาแม่มากขึ้นหนึ่งครั้งในสัปดาห์ ส่งข้อความส่วนตัวหาเพื่อนแทนการคอมเมนต์ใต้โพสต์ และชวนคุยแบบตัวต่อตัวมากขึ้น ความสนิทที่ได้กลับมาไม่ใช่จำนวนไลก์ แต่เป็นเวลาที่ให้กันจริงๆ
หลังครบหนึ่งสัปดาห์ เราติดตั้งแอปกลับบางตัว แต่ไม่ใส่รหัสเข้าแอปอัตโนมัติ ต้องใส่ทุกครั้งเพื่อชะงักตัวเองไม่ให้ไถเพลิน วางไอคอนไว้หน้าไกลๆ ของหน้าจอ และตั้งเวลาจำกัดการใช้งานไว้แบบจริงจัง พร้อมตั้งกฎเล่นๆ ว่าถ้าจะโพสต์อะไรให้จำเป็นพอ ไม่ต้องฝืนเล่า และไม่ต้องรอคำตอบจากใคร ถ้าอยากตอบใครให้ตอบเป็นข้อความส่วนตัวมากกว่า เราไม่ใช่คนที่ตัดโซเชียลได้เด็ดขาดหรอก แต่เราอยากใช้มันแทนที่จะให้มันใช้เรา ฟังดูคลิเช่ แต่หลังจากหนึ่งสัปดาห์มันไม่ใช่คำพูดสวยๆ เฉยๆ อีกแล้ว
เราไม่ได้เชิญชวนให้ทุกคนทำตาม เพราะบริบทของแต่ละคนต่างกัน งานบางอย่างต้องอาศัยโซเชียลจริงๆ แต่ถ้าใครรู้สึกว่าหัวใจชอบวิ่งหนีเข้าไปในฟีดบ่อยๆ ลองหยุดหนึ่งสัปดาห์ดู แล้วค่อยเลือกกลับมาเฉพาะส่วนที่จำเป็นก็ได้ เราเชื่อว่าความเงียบเล็กๆ ระหว่างวันช่วยให้เราฟังเสียงตัวเองชัดขึ้นนิดหน่อยพอจะรู้ว่าอะไรที่ใช่ และอะไรที่แค่ดัง
บทเรียนสุดท้ายของสัปดาห์นี้คือ การไม่มีโซเชียลไม่ได้ทำให้เราเก่งหรือดีขึ้นอัตโนมัติ แต่มันทำให้เราได้เห็นนิสัยของตัวเองชัดขึ้น เห็นว่าตอนไหนที่เรากลัว ตอนไหนที่เราเหงา และตอนไหนที่เราขี้เกียจจริงๆ ไม่ใช่เหนื่อยเกินไป การเห็นแบบนี้ทำให้เราจัดตารางวันจันทร์หน้าได้ดีขึ้นนิดหนึ่ง และพอใจกับการเดินช้าลงครึ่งก้าวโดยไม่รู้สึกว่าตามใครไม่ทัน